วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

"ไอคอนสยาม"เปิดเพนต์เฮาส์ทุบสถิติ5.5แสนบาท/ตร.ม.

ไอคอนสยาม เปิดราคาพรีเซลเพนต์เฮาส์"เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดารินโอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ" เริ่มต้น 5.5 แสน/ตร.ม. ทำสถิติห้องชุดแพงที่สุดในเมืองไทย มียอดจองแล้ว 30 ยูนิตจาก 146 ยูนิต จับมือพันธมิตรเชนโรงแรมแมนดารินช่วยการขายต่างชาติ

นางทิพพาภรณ์ เจียรวนนท์ อริยวรารมย์ กรรมการ บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทเพิ่มงบฯลงทุนโครงการเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ 2,000 ล้านบาท รวมเป็น 9,000 ล้านบาท เพื่อทำให้คุณภาพการออกแบบและก่อสร้างดีที่สุดสำหรับลูกค้า เตรียมเปิดพรีเซลพร้อมกันในไทย ฮ่องกง และอังกฤษ 29 ต.ค.นี้

รายละเอียดโครงการ ออกแบบเป็นคอนโดมิเนียม 52 ชั้น 146 ยูนิต บนที่ดิน 4.9 ไร่ ในพื้นที่โครงการไอคอนสยาม ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งเจริญนคร มีให้เลือกแบบห้อง 2-3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 127-228 ตร.ม. ราคาเริ่ม 3.5 แสนบาท/ตร.ม. หรือ 45 ล้านบาท/ยูนิต และแบบเพนต์เฮาส์กับดูเพล็กซ์ 380-707 ตร.ม. เริ่มต้น 5.5 แสนบาท/ตร.ม. ทำให้โครงการมีห้องชุดราคาเริ่มต้นที่แพงที่สุดในประเทศไทย จากเดิมอันดับ 1 เป็นของเดอะ ริทซ์-คาร์ลตันเรสซิเดนเซส บางกอก ที่มีราคาขาย 4 แสนบาท/ตร.ม.

นายธนวันต์ ชัยวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ ดิ ไอคอนสยามฯกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทเป็นพันธมิตรร่วมกับแมนดาริน โอเรียนเต็ล โฮเต็ล กรุ๊ปทำให้เกิดความมั่นใจในแบรนด์ ภายในโครงการที่มีลิฟต์ส่วนตัวทุกห้องชุด ที่จอดรถ 350 คัน เกิน 1 เท่าของจำนวนห้องชุด พร้อมลิฟต์จอดรถอัตโนมัติ มีพื้นที่สีเขียว 4,600 ตร.ม. และพื้นที่ส่วนกลางอื่น ๆ 3,000 ตร.ม. ล่าสุด ลูกค้าคนไทยจองแล้ว 30 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท

บริษัทคาดว่าจะทำยอดขาย 20-30% ภายใน 3 เดือน ตั้งเป้ามีลูกค้าต่างชาติเต็มโควตา 49% เตรียมจัดโรดโชว์ที่ประเทศฮ่องกงช่วงปลายเดือน พ.ย.นี้ ส่วนโครงการแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ 379 ยูนิตที่อยู่ติดกันสามารถปิดการขายได้แล้วในขณะนี้

ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

ดิ เอส อโศก คอนโดฯ แซ่บเว่อร์ ที่จอดรถเกิน 100% ทำช่องจอดให้ซูเปอร์คาร์-ซูเปอร์ไบก์อีกต่างหาก

ใครรู้จัก "สิงห์ เอสเตท" บ้าง ยกมือขึ้น

ประกาศจุดยืนชัด สำหรับบมจ.สิงห์ เอสเตท ว่าจะพัฒนาแต่คอนโดมิเนียมระดับกลางบน ราคา 8 หมื่นบาท/ตร.ม.ขึ้นไปเท่านั้น ปีนี้เลยประเดิมคอนโดฯแห่งแรก "ดิ เอส อโศก" (The ESSE Asoke) ราคาเฉลี่ย 2.2 แสนบาท/ตร.ม. เริ่มต้น 7.69 ล้านบาท ซึ่งสิงห์จัดว่าเป็นกลุ่มลักเซอรี่ของบริษัทฯ


คุยกับ "ณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจที่พักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงที่มาที่ไปของชื่อว่า ESSE เป็นรากศัพท์ภาษาละตินแปลว่า การมีอยู่ และเป็นการย่อคำจากภาษาอังกฤษคำว่า Essence แปลว่า สาระ แก่นสาร ซึ่งเป็นความหมายที่ดี และพ้องเสียงกับตัว S ที่เป็นสัญลักษณ์ของสิงห์ เอสเตท ในตลาดหุ้น

ว่าถึงรายละเอียดโครงการ ตั้งอยู่บนถ.อโศกมนตรี ตรงข้ามตึกแกรมมี่ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอโศก 550 เมตร พอจะเดินถึงแบบเหนื่อยนิดหน่อย เป็นอาคารชุดสูง 55 ชั้น ที่ผู้บริหารขอเคลมว่าเมื่อสร้างเสร็จจะกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดบนถ.อโศกมนตรี แต่ถึงจะมีหลายชั้น ก็มีห้องชุดเพียง 419 ยูนิต เพราะแต่ละชั้นเป็นซิงเกิ้ลคอร์ริดอร์(มีห้องชุดอยู่ฝั่งเดียวของทางเดิน) มีไม่เกิน 12 ยูนิต ยิ่งมีคนพักอาศัยน้อยจะรักษาความเป็นส่วนตัวได้มาก


สิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ส่วนกลาง บนพื้นที่ 2 ไร่กว่าของโครงการ จัดเป็นพื้นที่สีเขียว 3 โซนเนื้อที่รวม 1 ไร่ มีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส บอร์ดรูมสำหรับจัดประชุมย่อย และกอล์ฟ ซิมูเลเตอร์ ที่เชื่อว่าเป็นไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัย เอาไว้ซ้อมออกรอบได้ทุกวันเวลา

ไฮไลต์สำคัญอีกอย่างคือ ที่จอดรถ 427 คัน เกินกว่าจำนวนห้อง พร้อมที่จอดซูเปอร์คาร์ 9 คัน ซูเปอร์ไบค์อีก 9 คัน เพราะมั่นใจว่าลูกบ้านทุกห้องมีรถ แม้จะไม่ได้ใช้ทุกวัน แต่ที่จอดรถต้องมีทุกวัน

มาดูแบบห้องบ้าง มีแบบ 1-2 ห้องนอนและเพ้นท์เฮ้าส์ ขนาด 37-195 ตร.ม. เข้าไปเยี่ยมชมภายในห้อง 1 ห้องนอน 37 ตร.ม. จะค่อนข้างกะทัดรัด พื้นที่ทานอาหารเป็นโต๊ะทรงเคาน์เตอร์บาร์ 2 ที่นั่ง หรือจะยกไปทานที่เคาน์เตอร์ริมหน้าต่างก็ได้ ในห้องนอนวางเตียงได้พอดี มีช่องเจาะสำหรับวางทีวีที่ปลายเตียง ส่วนห้อง 2 ห้องนอน 75 ตร.ม. จะโปร่งโล่ง พื้นที่ห้องนั่งเล่น ครัว โต๊ะทานอาหาร 4 คน วางลงตัวพอดิบพอดี ห้องนอนมาสเตอร์มีห้องน้ำกรุกระจกมองทะลุห้องนอนได้และมีอ่างอาบน้ำ

ใครสนใจแวะชมได้ตั้งแต่ 19 ต.ค. 58 ถ้าจองช่วงพรีเซลก่อนแกรนด์โอเพนนิ่งที่สยามพารากอนวันที่ 13 พ.ย.58 รับส่วนลด 3 แสน-1.2 ล้านบาทไปเลยคร้าบ




นาทีทอง! กระตุ้นอสังหาฯ ซื้อบ้านไม่เกิน3ล้านตอนนี้ คุ้มสุด!



มนุษย์เงินเดือนมีเฮ!!!

สำหรับมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ยุครัฐบาลคสช. 

ในอดีต รัฐบาลเคยออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ มาหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ แต่เป้าหมายหลักจะเน้นดูแลผู้มีรายได้น้อย สำหรับรอบนี้พูดให้ยาวขึ้นว่าช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง โดยมติคณะรัฐมนตรี หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า มติ ครม. เมื่อวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2558 มี 4 แพคเกจสำคัญ ดังนี้

1. "ลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์" ปกติจะต้องทำและจ่ายที่กรมที่ดินหรือสำนักงานสาขา มีค่าธรรมเนียมโอนอยู่ที่ 2% ลดเหลือ 0.01% อธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ ว่า ราคาอสังหาฯ 1 ล้านบาท จะต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอน 2 หมื่นบาท ภายใต้มาตรการพิเศษนี้จะมีการจ่ายจริงแค่ 100 บาท

สมมุติ ราคาอสังหาฯ 2 ล้านบาท เดิมเสียค่าโอน 40,000 บาท หรือราคา 3 ล้านบาท จะต้องเสียค่าโอน 60,000 บาท ในขณะที่ภายใต้มาตรการรัฐจ่ายค่าโอนจริงเพียง 400 และ 600 บาท เป็นต้น

2."ลดค่าธรรมเนียมการจดจำนอง" อัตราปกติอยู่ที่ 1% หรือ 1 ล้านบาทต่อ 1 หมื่นบาท ลดเหลือ 0.01% หลักการคำนวณก็เหมือนกันคือภายใต้มาตรการครั้งนี้ ค่าจดจำนองจะเหลือ 1 ล้านบาทต่อ 100 บาท

ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การซื้อขาย อสังหาฯ หากเป็นการซื้อด้วยเงินสดคุณก็ไม่มีค่าใช้จ่ายตัวนี้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มีผู้ซื้อด้วยเงินสดเพียงกลุ่มน้อยนิด 5-10% เท่านั้น

นั่นหมายความว่าส่วนใหญ่ที่ซื้อโครงการจัดสรรไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์คอนโดมิเนียม สัดส่วน 90-95% ซื้อด้วยวิธีการกู้เงินจากสถาบันการเงิน เพราะฉะนั้น มักจะต้องแบกรับภาระค่าจดจำนองด้วยเสมอ

ทั้งนี้ การยกเว้นค่าโอนและจดจำนองดังกล่าว มีอายุให้เพียง 6 เดือน หรือภายใน 30 เมษายน 2559 
(อาจจะ 31 มีนาคม 2559 ก็ได้) เงื่อนไขเวลาจะช้าหรือเร็วขึ้นกับทางกระทรวงมหาดไทยสามารถเร่งรัดการบังคับใช้ได้เร็วหรือช้า เพราะต้องนำมติ ครม.ไปแปลงสู่การปฏิบัติ โดยนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกฎหมายของกระทรวงก่อนออกมาบังคับใช้ และเริ่มนับเวลา 6 เดือน (ประเมินกันว่าเร็วที่สุดขั้นตอนน่าจะเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ นับจากมีมติ ครม.)

3."ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อ" 


เจ้าภาพหนีไม่พ้น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ รอบนี้แหวกแนวออกไปเล็กน้อย เนื่องจากไปเพ่งเล็งการช่วยเหลือในกลุ่มผู้ที่เคยถูกปฏิเสธสินเชื่อหรือรีเจ็กต์เรตมาแล้ว ซึ่งรัฐบาลเตรียมวงเงินสนับสนุน 10,000 ล้านบาท ปล่อยกู้ได้สูงสุดสำหรับราคาอสังหาฯ ไม่เกิน 3 ล้านบาท หรือผู้กู้มีรายได้เดือนละ 30,000 บาท เห็นข่าวแวบๆ ทางรัฐมนตรีกระทรวงคลังบอกว่ามียอดรีเจ็กต์เรต 5,000-6,000 ราย ทั่นให้เหตุผลว่า เป็นกลุ่มที่แสดงเจตนารมณ์อยากซื้ออสังหาฯ แต่ซื้อไม่ได้เพราะกู้ไม่ผ่าน

เรื่องนี้ปรากฏว่าทาง ธอส. ทำงานได้รวดเร็วฉับไว ด้วยการประกาศให้ดอกเบี้ยปีแรก 3.50% ปีที่สอง 4.25% อายุสินเชื่อที่เหลือเป็นไปตามเรตปกติคือ MRR (ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) ส่วนจะบวกหรือลบเท่าไหร่เป็นไปตามกลไกเดิมๆ เช่น สินเชื่อสวัสดิการ ฯลฯ โดยสินเชื่อก้อนนี้มีเวลาทำสัญญาเงินกู้ภายใน 1 ปี เริ่มต้นนับเวลาตั้งแต่ 19 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป

อีกเรื่องหนึ่งที่ถือว่าจบก็คือ "ระยะเวลาการผ่อน" เกณฑ์คำนวณของแบงก์มีหลายตัว หนึ่งในนั้นคือ "อายุตัว" เช่น ผู้กู้มีอายุสูงสุดคือ 60 ปี สัญญาสินเชื่อยาวสุดอยู่ที่ 30 ปี ต่อมาพอมีการแข่งขันดุเดือดแบงก์หลายแห่งก็เลยขยายงวดผ่อน โดยยืดอายุผู้กู้ออกไปอีก เช่น ผู้กู้อายุได้ถึง 65-70 ปี ซึ่งมีผลทำให้สินเชื่อผ่อนได้ยาว 35-40 ปี โดยมติ ครม.ให้แนวทาง ธอส. ทำสินเชื่อยาวสุด 30 ปีเท่าเดิม

4."ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา" มติ ครม.เขียนไว้ว่า เป็นมาตรการที่ให้สำหรับผู้ซื้อบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยลดหย่อน 20% ของมูลค่าบ้านที่ซื้อระยะเวลา 5 ปี

อธิบายได้อย่างนี้ค่ะ สมมุติ ซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาท (ราคาแพงกว่านี้ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์) ลดหย่อน 20% คำนวณออกมาแล้วเท่ากับ 6 แสนบาท ให้นำ 5 ปีมาหารเฉลี่ยจะได้ปีละ 1.2 แสนบาท เท่ากับอัตราที่จะนำไปหักลดหย่อนได้คือปีละ 1.2 แสนบาท เป็นต้น 
ถ้าเปรียบเทียบกับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่ผ่านๆ มา อย่างน้อยถือว่าหน้าตาดีขึ้น พอกล้อมแกล้มกับสถานการณ์จริง เพราะมีทั้งการโฟกัสกลุ่มที่เคยถูกปฎิเสธสินเชื่อมาก่อน มีทั้งเรื่องการลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา

นาทีทองเริ่มต้นแล้วนะคะ โปรโมชั่นอสังหาฯ ที่มีรัฐบาลร่วมเป็นเจ้าภาพไม่ได้มีมาบ่อยๆ ของแถม-ส่วนลดเดิมๆ ที่เอกชนเขามีให้ อย่าลืมต่อรองให้เยอะ เรียกให้หนัก ให้สมกับที่ผู้ประกอบการชอบพูดว่า ยุคนี้เป็นยุคทองของผู้บริโภค


Cr.http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1445139451

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

แสนสิริเผยงาน “NOW OR NEVER” ดันยอดโปรแซ่บ ก.ย. แตะ 1,000 ลบ.



        
แสนสิริ มั่นใจโกยรายได้ปีนี้ 36,000 ล้านบาท ตามเป้าแน่นอน หลังเห็นกระแสความต้องการบ้านพร้อมอยู่มาแรงสวนกระแสเศรษฐกิจดันยอดโอนปีนี้โตต่อเนื่อง ปลื้มยอดขายคอนโดพร้อมอยู่ภายใต้แคมเปญ “NOW OR NEVER” คอนเซ็ปต์ “แซ่บ เผ็ด ร้อน กับยูนิตสุดฮอต” พุ่งเกินเป้า ยอดขาย 3 วัน ทะยานสู่ 600 ล้านบาท โตจากเป้า 300 ล้านบาท ที่ 200% จากการจัดงานที่สยามพารากอนเมื่อ 25-27 กันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายรวมบ้านพร้อมอยู่เดือน ก.ย.ในแคมเปญนี้พุ่งถึง 1,000 ล้านบาท พร้อมปิดการขายสวยงาม 4 โครงการ
       
       นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า งานขายคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ภายใต้แคมเปญ “NOW OR NEVER” ที่จัดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ได้รับการตอบรับที่ดีเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงทำให้บริษัทสามารถกวาดยอดขายไปได้ถึง 600 ล้านบาทได้ในเวลาเพียง 3 วัน สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 300 ล้านบาท ถึง 200% พร้อมยังสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ไปได้ถึง 4 โครงการ ซึ่งลูกค้าที่ซื้อทั้ง 4 โครงการจะทำการโอนภายในปีนี้ จึงทำให้บริษัทคาดการณ์ว่า จะมีการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อย่างต่อเนื่องตลอดไตรมาส 4 ปีนี้ และทำให้มีตัวเลขรายได้รวม 36,000 ล้านบาท ตามที่วางเป้าหมายไว้ได้
       
       ทั้งนี้ ภายในงานโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคา 2-5 ล้านบาท ขายดีที่สุด ส่วนทำเลที 77 (T77) บนถนนสุขุมวิท 77 (อ่อนนุช) มียอดขายต่อเนื่องมากที่สุดในกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นที่นิยมของทั้งชาวไทย และต่างชาติในการซื้อเพื่ออยู่เอง และลงทุนปล่อยเช่า เพราะใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ และไลฟ์สไตล์ ขณะที่หัวหินเป็นเมืองตากอากาศที่มียอดขายสูงสุด เพราะเป็นเมืองที่คนกรุงเทพฯ นิยมไปพักผ่อนในช่วงวันหยุดมากที่สุด
       
       “การตอบรับกิจกรรมส่งเสริมงานขาย “NOW OR NEVER” อย่างอบอุ่นเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทรีสอร์ตคอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่ยังในระดับดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวอย่างไตรมาส 4 ของปี ทั้งจากผู้ที่ต้องการบ้านหลังที่ 2 เพื่อพักผ่อนในเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงของไทย ตลอดจนยังชี้ให้เห็นถึงเทรนด์ใหม่ของการลงทุนของนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น ที่การลงทุนไม่เพียงแต่สามารถปล่อยเช่าคอนโดระยะยาวในฤดูกาลท่องเที่ยวได้ผลตอบแทนจากค่าเช่าในอัตราสูงเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ยูนิตที่ซื้อลงทุนเป็นสถานที่พักผ่อนได้ในช่วงโลว์ซีซันได้อีกด้วย ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียมภายในงาน คือ ทำเลโดดเด่น สามารถปล่อยเช่า หรือขายต่อได้ราคา แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ ที่ทำให้มั่นใจว่ามูลค่ารวมของโครงการจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปีจากการบริหารจัดการโครงการที่มีประสิทธิภาพ การออกแบบโครงการ ตลอดจนโปรโมชัน และราคาที่เหมาะสมคุ้มค่าต่อการลงทุน”
       
       นอกจากคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 16 โครงการ ราคาระหว่าง 1.1-30 ล้านบาท ที่มามอบสิทธิพิเศษในกิจกรรมส่งเสริมการขายแคมเปญ “NOW OR NEVER” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “แซ่บ เผ็ด ร้อน กับยูนิตสุดฮอต” ที่แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน เมื่อวันที่ 25-27 กันยายนที่ผ่านมาแล้ว แสนสิริ ยังได้จัดโปรโมชันสำหรับโครงการบ้านพร้อมอยู่ในทำเลต่างๆ ทั่วประเทศภายใต้แคมเปญเดียวกันในช่วงเดือนกันยายนอีกด้วย โดยสามารถปิดการขายโครงการแนวราบได้ 1 โครงการ คือ ฮาบิทาวน์ ท่าข้าม-พระราม 2 ซึ่งเมื่อรวมยอดขายแนวราบกับแนวสูงภายใต้แคมเปญนี้ตลอดเดือนกันยายนนี้ คาดว่าจะสามารถกวาดยอดขายไปได้กว่า 1,000 ล้านบาท
       
       “แสนสิริเชื่อว่ารีสอร์ตคอนโดพร้อมอยู่ทั้งในหัวหิน พัทยา ภูเก็ต และเขาใหญ่ จะมียอดขายโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ทั้งชาวไทย และต่างชาตินิยมเดินทางไปพักผ่อนตากอากาศซึ่งอาจจะมีส่วนหนึ่งใช้เป็นโอกาสไปเลือกซื้อคอนโดตากอากาศด้วย ทั้งนี้ เพื่อเตรียมตอบรับต่อดีมานด์ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง แสนสิริจึงได้เตรียมจัดงานแคมเปญ “NOW OR NEVER” ที่เซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต ในวันที่ 1-7 ตุลาคมนี้ นำโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ 11 โครงการ มามอบข้อเสนอพิเศษเฉพาะภายในงานเท่านั้น ซึ่งคาดว่างานนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีอย่างเช่นที่กรุงเทพฯ อีกเช่นเคย”

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

อนาคตใหม่ในกัมพูชา (2) "กัมปอตซิเมนต์" 2 ล้านตันป้อนใน ปท.


โรงงานผลิตปูนซีเมนต์นอกประเทศไทยแห่งแรกในกลุ่มอาเซียนของเครือเอสซีจีอยู่ที่กัมพูชาในนาม"บริษัทกัมปอตซิเมนต์ จำกัด" เริ่มลงทุนเมื่อปี 2550 ปัจจุบันเพิ่งบรรลุไลน์ผลิตเฟส 2 ทำให้มีกำลังผลิตรวม 2 ล้านตัน/ปี

ลงทุนเพิ่ม 130 ล้านเหรียญ

ทั้งนี้ เอสซีจีมีการลงทุนสร้างฐานผลิตปูนซีเมนต์ในอาเซียน 4 ประเทศด้วยกัน คือ กัมพูชา อินโดนีเซีย เมียนมา สปป.ลาว "อารีย์ ชวลิตชีวินกุล" ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรีจินอล เอสซีจีซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ระบุว่า ไตรมาส 2/58 ความต้องการปูนซีเมนต์ในตลาดกัมพูชาเพิ่มขึ้น 12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยและพาณิชย์ รวมทั้งใช้ก่อสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ

สถิติครึ่งปีแรก เอสซีจีมีรายได้จากการส่งออกปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างไปยังตลาดกัมพูชา 15% และมีรายได้จากฐานการผลิตในกัมพูชา 16% ของรายได้รวมจากฐานการผลิตทั้งหมดในอาเซียน แนวโน้มความต้องการใช้ยังสูงต่อเนื่อง เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะเดินหน้าเพิ่มการลงทุน

"สมหวัง แม้นพิมลชัย" Country Director-Cambodia กล่าวว่า เครือข่ายเอสซีจีตอนนี้ครอบคลุมปูนซีเมนต์ ปูนผสมเสร็จหรือรีดดี้มิกซ์ แผ่นพื้นสำเร็จรูป และกระเบื้องหลังคาคอนกรีต ในปี 2549 เมื่อความต้องการใช้ใกล้ชนเพดานจึงเริ่มสร้างไลน์ที่ 2 ในปี 2556 แล้วเสร็จและเดินเครื่องผลิตจริง เดือน ส.ค. 2558 สำหรับไลน์ผลิตที่ 2 ลงทุนเพิ่ม 130 ล้านเหรียญสหรัฐ กำลังผลิตรวม 2.3 ล้านตัน/ปี

กลยุทธ์ชูคุณภาพเป็นตัวนำ

"ทุกวันนี้ การลงทุนในกัมพูชาจำนวน 2,500 ตัน/วัน นำเข้าปูนจากไทยอีก 2,500 ตัน/วัน ต่อไปจะลดบทบาทนำเข้า"

โอกาสทางธุรกิจทั้งซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง "สมหวัง" ฟันธงไว้เลยว่าตลาดกัมพูชายังเติบโตได้อีกมหาศาล หากโฟกัสเฉพาะชาวกัมพูชา 15 ล้านคนในปัจจุบัน รายได้เฉลี่ย 1,000 เหรียญสหรัฐ/หัว หรือ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แนวโน้มจีดีพีเติบโตปีละ 7.2% ต่อเนื่องใน 5 ปีหน้า ขนาดตลาดจะใหญ่มากเพราะมีสูงถึง 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

กลยุทธ์การแข่งขันจึงต้องเริ่มจาก 1.คุณภาพสินค้า 2.ระบบจัดจำหน่าย ปัจจุบันมีดีลเลอร์หลัก 47 ราย กับซับดีลเลอร์พันกว่าแห่ง นำเสนอสินค้าใหม่สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญต้องเลือกเซ็กเมนต์ให้ชัดเพราะความต้องการลูกค้าเริ่มหลากหลายมากขึ้น

"เราเป็นผู้นำในตลาดกัมพูชาอยู่แล้วทำยังไงให้ยั่งยืนคุณภาพต้องทำให้ดีจุดแข็งสินค้าเราทุกคนยอมรับว่าคุณภาพดีต้องทำงานหนักมากขึ้นในเรื่อง Quality Gap หรือการตัดเซ็กเมนต์"

คำอธิบายของกลยุทธ์ "ตัดเซ็กเมนต์" ปัจจุบันยอดขายปูนพอร์ตแลนด์หรือปูนโครงสร้าง มีสัดส่วน 87% เพราะราคาถูกกว่า ขณะที่ปูนพลาสเตอริ่งหรือปูนฉาบ มีสัดส่วนยอดขายแค่ 13% นั่นคือพฤติกรรมผู้บริโภคยังมีการนำปูนโครงสร้างไปใช้แทนปูนฉาบ ดังนั้น หากจัดกิจกรรมให้ความรู้ผู้บริโภคใช้ปูนเฉพาะทางให้ถูกต้อง ผลักดันยอดขายปูนพลาสเตอริ่งเพิ่มเป็น 40% รายได้ก็จะโตโดยอัตโนมัติทันที

ทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่

"ศุภกิจ ภู่เจริญศิลป์" ผู้จัดการโรงงาน บริษัทกัมปอตซิเมนต์ ์ อธิบายว่า โรงงานได้รับสัมปทาน 50 ปีจากรัฐบาลกัมพูชา มีพื้นที่ 80 เฮกตาร์ (1 เฮกตาร์เท่ากับ 10,000 ตร.ม.) ล่าสุดสัมปทานยังเหลือเวลาอีก 42-43 ปี ตามแผนไลน์ผลิตมี 4 เฟส เพิ่งลงทุน 2 เฟส อีก 3-4 ปีก็เต็มกำลังผลิตแล้ว มีพนักงานคนท้องถิ่น 461 คน

ระบบการผลิตจะมีกระบวนการทำงานเหมือน "เซมิโอเพ่นฮับ" เจาะภูเขาโดยยังเหลือขอบด้านข้างไว้ ไม่ได้ใช้วิธีทลายเขาทั้งลูก ดังนั้น ด้านบนขอบภูเขาจึงเป็นเหมือนบัฟเฟอร์โซน ทำให้ฝุ่นกับเสียงไม่กระจายตัวออกมารบกวนชุมชนรอบข้าง "ข้อดีคือสิ่งแวดล้อมจะดีมากเพราะใช้ภูเขาไม่หมดทั้งลูก ต้นทุนแบบนี้จะสูงกว่าโรงผลิตปูนทั่วไป แต่เป็นนโยบายของเอสซีจี"

"พงศ์ธนา เดชวิทยาพร" ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด ตบท้ายด้วยข้อมูลการทำตลาด จะต้องรักษาความเป็นผู้นำด้านสินค้าคุณภาพ โดยจะมีสินค้าใหม่ทยอยนำเสนอต่อเนื่อง อาทิ กระเบื้องเซรามิกส์ สมาร์ทบอร์ด อิฐมวลเบา เป็นต้น ถือเป็นจุดขายที่ได้เปรียบในเชิงการแข่งขันเพราะผู้บริโภคยอมรับตราสินค้าเป็นอย่างสูง

ผู้บริโภคยอมรับว่าสินค้าคุณภาพเราดี"ตำไรคุณเพียบละออ" แปลตรงตัวว่า สินค้าช้างคุณภาพดี



ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

"พินทองทา" เปิดกรุที่ดินชินวัตร ลุยธุรกิจอสังหาฯให้เช่า "เขาใหญ่"


สัมภาษณ์
หลังเปิดตัวลงสนามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัวจัดตั้งบริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด นำที่ดินเก่าของ"ตระกูลชินวัตร" ที่เขาใหญ่ประมาณ 40 ไร่ เนรมิตเป็นโรงแรม-วิลล่า ภายใต้ชื่อ "โครงการ เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่" เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา

ล่าสุด "เอม-พินทองทา คุณากรวงศ์ (ชินวัตร)" เตรียมรุกหนักธุรกิจนี้อีกครั้ง หลังเว้นช่วงไปรับบทคุณแม่มือใหม่

"โครงการที่เขาใหญ่นี้เอมดูเต็ม ๆ ถ้าเป็นคอนโดมิเนียมเอมจะดูน้อยมาก จะเน้นหนักทำโรงแรมมากกว่า บริษัทเรนด์ฯจะมีเอมกับอิ้ง (แพรทองธาร) ช่วยกันดูส่วนพี่พงศ์ (สามี) จะรับผิดชอบดูแลบริษัทเอสซี แอสเสทฯ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โฟกัสการพัฒนาโครงการบ้านกับคอนโดมิเนียมเป็นหลัก ส่วนเรนด์ฯจะดูแลการลงทุนอสังหาฯเชิงพาณิชย์ ที่ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ไม่ได้ทำ "เอม-พินทองทากล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ"

สำหรับโครงการ "เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่" สร้างบนที่ดินประมาณ 40 ไร่ ติดถนนธนะรัชต์ เยื้องกับปาลิโอ้ เป็นที่ดินมรดกของคุณแม่ (คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์) ซื้อมาเมื่อ 20 ปีที่แล้วได้ลงทุนก่อสร้างตั้งแต่ที่ดินยังเป็นพื้นดินสีแดง เริ่มพัฒนาก่อน 10 ไร่มูลค่าโครงการประมาณ 300 ล้านบาท พัฒนาเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว จำนวน 60 ยูนิต รูปแบบห้องพัก54 ห้อง และพูลวิลล่า 4 หลัง มีบริษัทเรนด์ฯดูการบริหารโครงการให้ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีอัตราเข้าพักอยู่พอสมควร

ส่วนที่ดินเหลืออีกประมาณกว่า 20 ไร่ ยังเก็บไว้รอดูจังหวะตลาด อาจจะพัฒนาเอง หรือให้บริษัทเอสซีฯมาดำเนินการก็ได้ หากจะนำที่ดินมาสร้างเป็นบ้านขาย เราก็ให้เอสซีทำ ในลักษณะคงเป็นการขายที่ดินให้เอสซีนำไปพัฒนาต่อ แต่ยังเป็นเพียงแนวคิดนะคะ ปัจจุบันยังเป็นที่ดินของคุณแม่อยู่

"ที่ดินของคุณแม่มีหลายแปลงมาก (หัวเราะ) แต่เอมจำไม่ได้ว่ามีที่ไหนบ้างแล้ว ซึ่งเอมมาดูว่าเรามีแลนด์แบงก์ตรงไหนบ้าง ตรงที่นี่ (เขาใหญ่) มีศักยภาพหน่อย เอมเลยดึงมาพัฒนาก่อน เอมรอลูกโตอีกนิดหนึ่ง (หัวเราะ) จะมาลุยเต็มที่คราวนี้ บอกแม่ว่าค่อย ๆ ทำไปก่อน"
จากที่ดินเขาใหญ่ "พินทองทา" ได้อัพเดตโครงการคอนโดมิเนียมทำเลสาทรซอย 7 ภายใต้ชื่อ "ฮัดสัน" สไตล์โมเดิร์นนิวยอร์กใกล้สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง

"พินทองทา" เล่าว่า โครงการนี้เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เดิมเป็นอาคารเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์สาทรแมนชั่นของครอบครัวและก็นำมารีโนเวตใหม่ เป็นอาคาร 12 ชั้น เพียง 49 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 50-220 ตารางเมตร โดยชั้น 11 และ 12 เป็นแบบเพนต์เฮาส์3 ห้องนอน ชั้นละ 1 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ยตารางเมตรละ 1.3 แสนบาท มีบริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) เป็นตัวแทนขาย

ปัจจุบันยังเปิดขายอยู่ มียูนิตเหลือขายประมาณ 3-5 ยูนิตในนี้มีเพนต์เฮ้าส์ 1 ยูนิต จากทั้งหมด 49 ยูนิต ซึ่งกลุ่มลูกค้ามาซื้อเป็นคนไทยที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่า เนื่องจากเป็นห้องไซซ์ใหญ่ ปัจจุบันมีปรับราคาเล็กน้อย แต่ราคายังไม่ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับโครงการอื่น ๆ อยู่ในทำเลเดียวกัน เช่น โครงการคอนโดศาลาแดงวัน เป็นต้น

"ธุรกิจอสังหาฯที่เอมทำจะไม่ทับไลน์กับเอสซีฯ ของเราจะเน้นซื้อโครงการเก่าที่มีอยู่แล้วนำมารีโนเวตใหม่ ไม่เหมือนเอสซีซื้อที่ดินมาทำคอนโดฯอย่างที่สาทรเป็นอพาร์ตเมนต์กึ่งโรงแรมเดิม แล้วมารีโนเวตใหม่ทั้งหมด ยกเครื่องระบบลิฟต์ อะไรใหม่หมด เพราะถ้าเราทุบจะไม่ได้ ตามกฎหมายใหม่ที่จะสร้างสูงไม่ได้ติดระยะถอยร่นถนน"

สำหรับโครงการนี้ "พินทองทา" คาดหวังว่า ถ้าขายได้หมดจะมียอดขายรวมประมาณ 700 ล้านบาท



ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

อีก 17 ปี เมื่อกรุงเทพฯขยาย



การบรรยายพิเศษเรื่อง การสร้างโอกาสจากความเป็นเมือง (Urbanization) ซึ่งผศ.ดร.นิรมล กุลศรีสมบัติ ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางผังเมืองเป็นผู้บรรยาย ในงานมหกรรมความรู้ ครั้งที่ 4 ที่จัดโดยสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา 

ประชาชาติธุรกิจ สรุปเนื้อหาในมุมมองของสื่อที่เกี่ยวข้องกับโอกาสธุรกิจมานำเสนอ โดยการบรรยายในครั้งนั้นได้สะท้อนให้เห็นในอีก 17 ปีข้างหน้าด้วยว่า เมื่อผังเมืองเปลี่ยน เทคโนโลยีการสื่อสารที่ดีขึ้นรวดเร็วขึ้น การเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน ขณะที่การคมนาคมต่าง ๆ โครงการรถไฟฟ้า ระบบรางที่เกิดขึ้น ทำให้การขนคนจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเมืองได้ในเวลาอีกไม่นานนั้น นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ

ประการแรก การพัฒนาระบบราง และจุดเปลี่ยนถ่าย สถานีต่าง ๆ จะกลายเป็นแนวโน้มในการฟื้นฟูเมืองรอบ ๆ สถานีทั้ง 246 สถานี ระบบรางจะร่วมกับระบบขนส่งรอง อย่างเช่น เรือ มอเตอร์ไซค์ รถตู้มากขึ้น 

มีธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ตามมา อย่างเช่น การส่งสินค้าผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ แบบถึงบ้านจะเพิ่มมากขึ้น ในอีกมุมความสะดวกสบาย ทำให้คนจะเคลื่อนไหวน้อยลง เพราะการบริการทุกอย่างจะวิ่งเข้ามาหา ผลกระทบอื่นๆ ที่ตามมาเช่น พื้นที่การค้าหดตัวเล็กลง ห้างใหญ่ไม่มีความจำเป็น เพราะคนสั่งสินค้าได้ และจัดมาส่งให้ได้ ส่วนตลาดสดต่าง ๆ ก็อาจจะกลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเมืองแทนก็ได้ 

ระบบไอซีทียังทำให้ชีวิตเป็นการเรียนรู้ทุกเวลา การพัฒนาฐานข้อมูลของเมือง ทำให้คนเมืองใช้สมาร์ทดีไวซ์ได้ในทุก ๆ ที่สามารถรับข่าวสารได้ตลอด 24 ชั่วโมง เกิดพฤติกรรมของผู้บริโภคแบบใหม่เพิ่มขึ้น 

เช่นพื้นที่แห่งการพักผ่อนรูปแบบใหม่ ที่การสื่อสารเข้าไปไม่ถึงก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย

มีอิสระการทำงาน ทำที่ไหนก็ได้ ส่งงานที่ไหนก็ได้ การทำงานเริ่มยืดหยุ่นมากขึ้น 

ธุรกิจแบบที่เราจะเห็นในปัจจุบันบ้างแล้วคือการแชร์พื้นที่กันทำงานในรูปแบบต่าง เช่น โคเวิร์กกิ้ง สเปซ ที่จะผุดขึ้นอย่างมากในอนาคต ในทางตรงกันข้าม อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ก็จะน้อยลงไป อาจจะเป็นตึกแถวโบราณหรือที่พักอาศัยที่มีอินฟราสตรักเจอร์รองรับครบครัน และกระจายตัวไปตามชุมชน หมู่บ้าน คนอาจจะไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่ศูนย์กลาง หรือเข้าเมืองแบบในปัจจุบัน 

ระบบราชการต่าง ๆ จะหดลง จะมีการรวมศูนย์วันสต็อปมากขึ้น เกิดการรวมภาครัฐ เอกชน เช่น วันสต็อปการทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่ร้านสะดวกซื้ออย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ 

รสนิยมการท่องเที่ยว จากการนั่งรถทัวร์ไปที่เดียวกัน ปรับเปลี่ยนมาเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ระบบไอซีทีจะช่วยติดอาวุธให้กับชาวชุมชนย่านเก่า สามารถที่จะเป็นผู้ประกอบการได้จริง ติดต่อกับลูกค้าและพื้นที่ย่านเมืองเก่าราคาสูงขึ้น แนวโน้มการพัฒนาที่ดินเป็นการเช่ามากกว่าการขายขาด 

เทรนด์อุตสาหกรรมในอนาคต เราจะได้เห็นอุตสาหกรรมประเภทที่ใช้พื้นที่ขนาดเล็กๆ ดูแลเรื่องมลพิษ มีพื้นที่สีเขียว การใช้เครื่องพรินต์ 3 มิติเข้าช่วยลดขนาดของงาน โดยไม่ต้องใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ ดังนั้นธุรกิจบางชนิดสามารถที่จะกลับเข้าสู่ย่านเมืองเก่า อาคารตึกแถวบ้านพักสามารถทำได้ จึงเป็นโอกาสของย่านเมืองเก่าในอนาคต 

การพัฒนาแหล่งพลังงานที่หลากหลาย เรื่องสิ่งแวดล้อม แนวโน้มจะหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น เช่น จากขยะในรูปแบบต่าง ๆ จากการพัฒนาทางจักรยาน ก็จะเป็นที่มาของการผลิตพลังงานและนำไปใช้ต่อไป

ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://bangkok250.org/


ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat