วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

"ไอคอนสยาม"เปิดเพนต์เฮาส์ทุบสถิติ5.5แสนบาท/ตร.ม.

ไอคอนสยาม เปิดราคาพรีเซลเพนต์เฮาส์"เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดารินโอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ" เริ่มต้น 5.5 แสน/ตร.ม. ทำสถิติห้องชุดแพงที่สุดในเมืองไทย มียอดจองแล้ว 30 ยูนิตจาก 146 ยูนิต จับมือพันธมิตรเชนโรงแรมแมนดารินช่วยการขายต่างชาติ

นางทิพพาภรณ์ เจียรวนนท์ อริยวรารมย์ กรรมการ บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทเพิ่มงบฯลงทุนโครงการเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ 2,000 ล้านบาท รวมเป็น 9,000 ล้านบาท เพื่อทำให้คุณภาพการออกแบบและก่อสร้างดีที่สุดสำหรับลูกค้า เตรียมเปิดพรีเซลพร้อมกันในไทย ฮ่องกง และอังกฤษ 29 ต.ค.นี้

รายละเอียดโครงการ ออกแบบเป็นคอนโดมิเนียม 52 ชั้น 146 ยูนิต บนที่ดิน 4.9 ไร่ ในพื้นที่โครงการไอคอนสยาม ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งเจริญนคร มีให้เลือกแบบห้อง 2-3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 127-228 ตร.ม. ราคาเริ่ม 3.5 แสนบาท/ตร.ม. หรือ 45 ล้านบาท/ยูนิต และแบบเพนต์เฮาส์กับดูเพล็กซ์ 380-707 ตร.ม. เริ่มต้น 5.5 แสนบาท/ตร.ม. ทำให้โครงการมีห้องชุดราคาเริ่มต้นที่แพงที่สุดในประเทศไทย จากเดิมอันดับ 1 เป็นของเดอะ ริทซ์-คาร์ลตันเรสซิเดนเซส บางกอก ที่มีราคาขาย 4 แสนบาท/ตร.ม.

นายธนวันต์ ชัยวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ ดิ ไอคอนสยามฯกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทเป็นพันธมิตรร่วมกับแมนดาริน โอเรียนเต็ล โฮเต็ล กรุ๊ปทำให้เกิดความมั่นใจในแบรนด์ ภายในโครงการที่มีลิฟต์ส่วนตัวทุกห้องชุด ที่จอดรถ 350 คัน เกิน 1 เท่าของจำนวนห้องชุด พร้อมลิฟต์จอดรถอัตโนมัติ มีพื้นที่สีเขียว 4,600 ตร.ม. และพื้นที่ส่วนกลางอื่น ๆ 3,000 ตร.ม. ล่าสุด ลูกค้าคนไทยจองแล้ว 30 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท

บริษัทคาดว่าจะทำยอดขาย 20-30% ภายใน 3 เดือน ตั้งเป้ามีลูกค้าต่างชาติเต็มโควตา 49% เตรียมจัดโรดโชว์ที่ประเทศฮ่องกงช่วงปลายเดือน พ.ย.นี้ ส่วนโครงการแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ 379 ยูนิตที่อยู่ติดกันสามารถปิดการขายได้แล้วในขณะนี้

ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

ดิ เอส อโศก คอนโดฯ แซ่บเว่อร์ ที่จอดรถเกิน 100% ทำช่องจอดให้ซูเปอร์คาร์-ซูเปอร์ไบก์อีกต่างหาก

ใครรู้จัก "สิงห์ เอสเตท" บ้าง ยกมือขึ้น

ประกาศจุดยืนชัด สำหรับบมจ.สิงห์ เอสเตท ว่าจะพัฒนาแต่คอนโดมิเนียมระดับกลางบน ราคา 8 หมื่นบาท/ตร.ม.ขึ้นไปเท่านั้น ปีนี้เลยประเดิมคอนโดฯแห่งแรก "ดิ เอส อโศก" (The ESSE Asoke) ราคาเฉลี่ย 2.2 แสนบาท/ตร.ม. เริ่มต้น 7.69 ล้านบาท ซึ่งสิงห์จัดว่าเป็นกลุ่มลักเซอรี่ของบริษัทฯ


คุยกับ "ณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจที่พักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงที่มาที่ไปของชื่อว่า ESSE เป็นรากศัพท์ภาษาละตินแปลว่า การมีอยู่ และเป็นการย่อคำจากภาษาอังกฤษคำว่า Essence แปลว่า สาระ แก่นสาร ซึ่งเป็นความหมายที่ดี และพ้องเสียงกับตัว S ที่เป็นสัญลักษณ์ของสิงห์ เอสเตท ในตลาดหุ้น

ว่าถึงรายละเอียดโครงการ ตั้งอยู่บนถ.อโศกมนตรี ตรงข้ามตึกแกรมมี่ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอโศก 550 เมตร พอจะเดินถึงแบบเหนื่อยนิดหน่อย เป็นอาคารชุดสูง 55 ชั้น ที่ผู้บริหารขอเคลมว่าเมื่อสร้างเสร็จจะกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดบนถ.อโศกมนตรี แต่ถึงจะมีหลายชั้น ก็มีห้องชุดเพียง 419 ยูนิต เพราะแต่ละชั้นเป็นซิงเกิ้ลคอร์ริดอร์(มีห้องชุดอยู่ฝั่งเดียวของทางเดิน) มีไม่เกิน 12 ยูนิต ยิ่งมีคนพักอาศัยน้อยจะรักษาความเป็นส่วนตัวได้มาก


สิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ส่วนกลาง บนพื้นที่ 2 ไร่กว่าของโครงการ จัดเป็นพื้นที่สีเขียว 3 โซนเนื้อที่รวม 1 ไร่ มีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส บอร์ดรูมสำหรับจัดประชุมย่อย และกอล์ฟ ซิมูเลเตอร์ ที่เชื่อว่าเป็นไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัย เอาไว้ซ้อมออกรอบได้ทุกวันเวลา

ไฮไลต์สำคัญอีกอย่างคือ ที่จอดรถ 427 คัน เกินกว่าจำนวนห้อง พร้อมที่จอดซูเปอร์คาร์ 9 คัน ซูเปอร์ไบค์อีก 9 คัน เพราะมั่นใจว่าลูกบ้านทุกห้องมีรถ แม้จะไม่ได้ใช้ทุกวัน แต่ที่จอดรถต้องมีทุกวัน

มาดูแบบห้องบ้าง มีแบบ 1-2 ห้องนอนและเพ้นท์เฮ้าส์ ขนาด 37-195 ตร.ม. เข้าไปเยี่ยมชมภายในห้อง 1 ห้องนอน 37 ตร.ม. จะค่อนข้างกะทัดรัด พื้นที่ทานอาหารเป็นโต๊ะทรงเคาน์เตอร์บาร์ 2 ที่นั่ง หรือจะยกไปทานที่เคาน์เตอร์ริมหน้าต่างก็ได้ ในห้องนอนวางเตียงได้พอดี มีช่องเจาะสำหรับวางทีวีที่ปลายเตียง ส่วนห้อง 2 ห้องนอน 75 ตร.ม. จะโปร่งโล่ง พื้นที่ห้องนั่งเล่น ครัว โต๊ะทานอาหาร 4 คน วางลงตัวพอดิบพอดี ห้องนอนมาสเตอร์มีห้องน้ำกรุกระจกมองทะลุห้องนอนได้และมีอ่างอาบน้ำ

ใครสนใจแวะชมได้ตั้งแต่ 19 ต.ค. 58 ถ้าจองช่วงพรีเซลก่อนแกรนด์โอเพนนิ่งที่สยามพารากอนวันที่ 13 พ.ย.58 รับส่วนลด 3 แสน-1.2 ล้านบาทไปเลยคร้าบ




นาทีทอง! กระตุ้นอสังหาฯ ซื้อบ้านไม่เกิน3ล้านตอนนี้ คุ้มสุด!



มนุษย์เงินเดือนมีเฮ!!!

สำหรับมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ยุครัฐบาลคสช. 

ในอดีต รัฐบาลเคยออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ มาหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ แต่เป้าหมายหลักจะเน้นดูแลผู้มีรายได้น้อย สำหรับรอบนี้พูดให้ยาวขึ้นว่าช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง โดยมติคณะรัฐมนตรี หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า มติ ครม. เมื่อวันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2558 มี 4 แพคเกจสำคัญ ดังนี้

1. "ลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์" ปกติจะต้องทำและจ่ายที่กรมที่ดินหรือสำนักงานสาขา มีค่าธรรมเนียมโอนอยู่ที่ 2% ลดเหลือ 0.01% อธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ ว่า ราคาอสังหาฯ 1 ล้านบาท จะต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอน 2 หมื่นบาท ภายใต้มาตรการพิเศษนี้จะมีการจ่ายจริงแค่ 100 บาท

สมมุติ ราคาอสังหาฯ 2 ล้านบาท เดิมเสียค่าโอน 40,000 บาท หรือราคา 3 ล้านบาท จะต้องเสียค่าโอน 60,000 บาท ในขณะที่ภายใต้มาตรการรัฐจ่ายค่าโอนจริงเพียง 400 และ 600 บาท เป็นต้น

2."ลดค่าธรรมเนียมการจดจำนอง" อัตราปกติอยู่ที่ 1% หรือ 1 ล้านบาทต่อ 1 หมื่นบาท ลดเหลือ 0.01% หลักการคำนวณก็เหมือนกันคือภายใต้มาตรการครั้งนี้ ค่าจดจำนองจะเหลือ 1 ล้านบาทต่อ 100 บาท

ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การซื้อขาย อสังหาฯ หากเป็นการซื้อด้วยเงินสดคุณก็ไม่มีค่าใช้จ่ายตัวนี้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มีผู้ซื้อด้วยเงินสดเพียงกลุ่มน้อยนิด 5-10% เท่านั้น

นั่นหมายความว่าส่วนใหญ่ที่ซื้อโครงการจัดสรรไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์คอนโดมิเนียม สัดส่วน 90-95% ซื้อด้วยวิธีการกู้เงินจากสถาบันการเงิน เพราะฉะนั้น มักจะต้องแบกรับภาระค่าจดจำนองด้วยเสมอ

ทั้งนี้ การยกเว้นค่าโอนและจดจำนองดังกล่าว มีอายุให้เพียง 6 เดือน หรือภายใน 30 เมษายน 2559 
(อาจจะ 31 มีนาคม 2559 ก็ได้) เงื่อนไขเวลาจะช้าหรือเร็วขึ้นกับทางกระทรวงมหาดไทยสามารถเร่งรัดการบังคับใช้ได้เร็วหรือช้า เพราะต้องนำมติ ครม.ไปแปลงสู่การปฏิบัติ โดยนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกฎหมายของกระทรวงก่อนออกมาบังคับใช้ และเริ่มนับเวลา 6 เดือน (ประเมินกันว่าเร็วที่สุดขั้นตอนน่าจะเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ นับจากมีมติ ครม.)

3."ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อ" 


เจ้าภาพหนีไม่พ้น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ รอบนี้แหวกแนวออกไปเล็กน้อย เนื่องจากไปเพ่งเล็งการช่วยเหลือในกลุ่มผู้ที่เคยถูกปฏิเสธสินเชื่อหรือรีเจ็กต์เรตมาแล้ว ซึ่งรัฐบาลเตรียมวงเงินสนับสนุน 10,000 ล้านบาท ปล่อยกู้ได้สูงสุดสำหรับราคาอสังหาฯ ไม่เกิน 3 ล้านบาท หรือผู้กู้มีรายได้เดือนละ 30,000 บาท เห็นข่าวแวบๆ ทางรัฐมนตรีกระทรวงคลังบอกว่ามียอดรีเจ็กต์เรต 5,000-6,000 ราย ทั่นให้เหตุผลว่า เป็นกลุ่มที่แสดงเจตนารมณ์อยากซื้ออสังหาฯ แต่ซื้อไม่ได้เพราะกู้ไม่ผ่าน

เรื่องนี้ปรากฏว่าทาง ธอส. ทำงานได้รวดเร็วฉับไว ด้วยการประกาศให้ดอกเบี้ยปีแรก 3.50% ปีที่สอง 4.25% อายุสินเชื่อที่เหลือเป็นไปตามเรตปกติคือ MRR (ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) ส่วนจะบวกหรือลบเท่าไหร่เป็นไปตามกลไกเดิมๆ เช่น สินเชื่อสวัสดิการ ฯลฯ โดยสินเชื่อก้อนนี้มีเวลาทำสัญญาเงินกู้ภายใน 1 ปี เริ่มต้นนับเวลาตั้งแต่ 19 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป

อีกเรื่องหนึ่งที่ถือว่าจบก็คือ "ระยะเวลาการผ่อน" เกณฑ์คำนวณของแบงก์มีหลายตัว หนึ่งในนั้นคือ "อายุตัว" เช่น ผู้กู้มีอายุสูงสุดคือ 60 ปี สัญญาสินเชื่อยาวสุดอยู่ที่ 30 ปี ต่อมาพอมีการแข่งขันดุเดือดแบงก์หลายแห่งก็เลยขยายงวดผ่อน โดยยืดอายุผู้กู้ออกไปอีก เช่น ผู้กู้อายุได้ถึง 65-70 ปี ซึ่งมีผลทำให้สินเชื่อผ่อนได้ยาว 35-40 ปี โดยมติ ครม.ให้แนวทาง ธอส. ทำสินเชื่อยาวสุด 30 ปีเท่าเดิม

4."ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา" มติ ครม.เขียนไว้ว่า เป็นมาตรการที่ให้สำหรับผู้ซื้อบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยลดหย่อน 20% ของมูลค่าบ้านที่ซื้อระยะเวลา 5 ปี

อธิบายได้อย่างนี้ค่ะ สมมุติ ซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาท (ราคาแพงกว่านี้ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์) ลดหย่อน 20% คำนวณออกมาแล้วเท่ากับ 6 แสนบาท ให้นำ 5 ปีมาหารเฉลี่ยจะได้ปีละ 1.2 แสนบาท เท่ากับอัตราที่จะนำไปหักลดหย่อนได้คือปีละ 1.2 แสนบาท เป็นต้น 
ถ้าเปรียบเทียบกับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่ผ่านๆ มา อย่างน้อยถือว่าหน้าตาดีขึ้น พอกล้อมแกล้มกับสถานการณ์จริง เพราะมีทั้งการโฟกัสกลุ่มที่เคยถูกปฎิเสธสินเชื่อมาก่อน มีทั้งเรื่องการลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา

นาทีทองเริ่มต้นแล้วนะคะ โปรโมชั่นอสังหาฯ ที่มีรัฐบาลร่วมเป็นเจ้าภาพไม่ได้มีมาบ่อยๆ ของแถม-ส่วนลดเดิมๆ ที่เอกชนเขามีให้ อย่าลืมต่อรองให้เยอะ เรียกให้หนัก ให้สมกับที่ผู้ประกอบการชอบพูดว่า ยุคนี้เป็นยุคทองของผู้บริโภค


Cr.http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1445139451

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

แสนสิริเผยงาน “NOW OR NEVER” ดันยอดโปรแซ่บ ก.ย. แตะ 1,000 ลบ.



        
แสนสิริ มั่นใจโกยรายได้ปีนี้ 36,000 ล้านบาท ตามเป้าแน่นอน หลังเห็นกระแสความต้องการบ้านพร้อมอยู่มาแรงสวนกระแสเศรษฐกิจดันยอดโอนปีนี้โตต่อเนื่อง ปลื้มยอดขายคอนโดพร้อมอยู่ภายใต้แคมเปญ “NOW OR NEVER” คอนเซ็ปต์ “แซ่บ เผ็ด ร้อน กับยูนิตสุดฮอต” พุ่งเกินเป้า ยอดขาย 3 วัน ทะยานสู่ 600 ล้านบาท โตจากเป้า 300 ล้านบาท ที่ 200% จากการจัดงานที่สยามพารากอนเมื่อ 25-27 กันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายรวมบ้านพร้อมอยู่เดือน ก.ย.ในแคมเปญนี้พุ่งถึง 1,000 ล้านบาท พร้อมปิดการขายสวยงาม 4 โครงการ
       
       นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า งานขายคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ภายใต้แคมเปญ “NOW OR NEVER” ที่จัดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ได้รับการตอบรับที่ดีเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงทำให้บริษัทสามารถกวาดยอดขายไปได้ถึง 600 ล้านบาทได้ในเวลาเพียง 3 วัน สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 300 ล้านบาท ถึง 200% พร้อมยังสามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ไปได้ถึง 4 โครงการ ซึ่งลูกค้าที่ซื้อทั้ง 4 โครงการจะทำการโอนภายในปีนี้ จึงทำให้บริษัทคาดการณ์ว่า จะมีการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อย่างต่อเนื่องตลอดไตรมาส 4 ปีนี้ และทำให้มีตัวเลขรายได้รวม 36,000 ล้านบาท ตามที่วางเป้าหมายไว้ได้
       
       ทั้งนี้ ภายในงานโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคา 2-5 ล้านบาท ขายดีที่สุด ส่วนทำเลที 77 (T77) บนถนนสุขุมวิท 77 (อ่อนนุช) มียอดขายต่อเนื่องมากที่สุดในกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นที่นิยมของทั้งชาวไทย และต่างชาติในการซื้อเพื่ออยู่เอง และลงทุนปล่อยเช่า เพราะใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ และไลฟ์สไตล์ ขณะที่หัวหินเป็นเมืองตากอากาศที่มียอดขายสูงสุด เพราะเป็นเมืองที่คนกรุงเทพฯ นิยมไปพักผ่อนในช่วงวันหยุดมากที่สุด
       
       “การตอบรับกิจกรรมส่งเสริมงานขาย “NOW OR NEVER” อย่างอบอุ่นเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทรีสอร์ตคอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่ยังในระดับดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวอย่างไตรมาส 4 ของปี ทั้งจากผู้ที่ต้องการบ้านหลังที่ 2 เพื่อพักผ่อนในเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงของไทย ตลอดจนยังชี้ให้เห็นถึงเทรนด์ใหม่ของการลงทุนของนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และผันผวนน้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น ที่การลงทุนไม่เพียงแต่สามารถปล่อยเช่าคอนโดระยะยาวในฤดูกาลท่องเที่ยวได้ผลตอบแทนจากค่าเช่าในอัตราสูงเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ยูนิตที่ซื้อลงทุนเป็นสถานที่พักผ่อนได้ในช่วงโลว์ซีซันได้อีกด้วย ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียมภายในงาน คือ ทำเลโดดเด่น สามารถปล่อยเช่า หรือขายต่อได้ราคา แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ ที่ทำให้มั่นใจว่ามูลค่ารวมของโครงการจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปีจากการบริหารจัดการโครงการที่มีประสิทธิภาพ การออกแบบโครงการ ตลอดจนโปรโมชัน และราคาที่เหมาะสมคุ้มค่าต่อการลงทุน”
       
       นอกจากคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 16 โครงการ ราคาระหว่าง 1.1-30 ล้านบาท ที่มามอบสิทธิพิเศษในกิจกรรมส่งเสริมการขายแคมเปญ “NOW OR NEVER” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “แซ่บ เผ็ด ร้อน กับยูนิตสุดฮอต” ที่แฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน เมื่อวันที่ 25-27 กันยายนที่ผ่านมาแล้ว แสนสิริ ยังได้จัดโปรโมชันสำหรับโครงการบ้านพร้อมอยู่ในทำเลต่างๆ ทั่วประเทศภายใต้แคมเปญเดียวกันในช่วงเดือนกันยายนอีกด้วย โดยสามารถปิดการขายโครงการแนวราบได้ 1 โครงการ คือ ฮาบิทาวน์ ท่าข้าม-พระราม 2 ซึ่งเมื่อรวมยอดขายแนวราบกับแนวสูงภายใต้แคมเปญนี้ตลอดเดือนกันยายนนี้ คาดว่าจะสามารถกวาดยอดขายไปได้กว่า 1,000 ล้านบาท
       
       “แสนสิริเชื่อว่ารีสอร์ตคอนโดพร้อมอยู่ทั้งในหัวหิน พัทยา ภูเก็ต และเขาใหญ่ จะมียอดขายโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ทั้งชาวไทย และต่างชาตินิยมเดินทางไปพักผ่อนตากอากาศซึ่งอาจจะมีส่วนหนึ่งใช้เป็นโอกาสไปเลือกซื้อคอนโดตากอากาศด้วย ทั้งนี้ เพื่อเตรียมตอบรับต่อดีมานด์ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง แสนสิริจึงได้เตรียมจัดงานแคมเปญ “NOW OR NEVER” ที่เซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต ในวันที่ 1-7 ตุลาคมนี้ นำโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ 11 โครงการ มามอบข้อเสนอพิเศษเฉพาะภายในงานเท่านั้น ซึ่งคาดว่างานนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีอย่างเช่นที่กรุงเทพฯ อีกเช่นเคย”

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

อนาคตใหม่ในกัมพูชา (2) "กัมปอตซิเมนต์" 2 ล้านตันป้อนใน ปท.


โรงงานผลิตปูนซีเมนต์นอกประเทศไทยแห่งแรกในกลุ่มอาเซียนของเครือเอสซีจีอยู่ที่กัมพูชาในนาม"บริษัทกัมปอตซิเมนต์ จำกัด" เริ่มลงทุนเมื่อปี 2550 ปัจจุบันเพิ่งบรรลุไลน์ผลิตเฟส 2 ทำให้มีกำลังผลิตรวม 2 ล้านตัน/ปี

ลงทุนเพิ่ม 130 ล้านเหรียญ

ทั้งนี้ เอสซีจีมีการลงทุนสร้างฐานผลิตปูนซีเมนต์ในอาเซียน 4 ประเทศด้วยกัน คือ กัมพูชา อินโดนีเซีย เมียนมา สปป.ลาว "อารีย์ ชวลิตชีวินกุล" ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจรีจินอล เอสซีจีซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ระบุว่า ไตรมาส 2/58 ความต้องการปูนซีเมนต์ในตลาดกัมพูชาเพิ่มขึ้น 12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยและพาณิชย์ รวมทั้งใช้ก่อสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ

สถิติครึ่งปีแรก เอสซีจีมีรายได้จากการส่งออกปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างไปยังตลาดกัมพูชา 15% และมีรายได้จากฐานการผลิตในกัมพูชา 16% ของรายได้รวมจากฐานการผลิตทั้งหมดในอาเซียน แนวโน้มความต้องการใช้ยังสูงต่อเนื่อง เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะเดินหน้าเพิ่มการลงทุน

"สมหวัง แม้นพิมลชัย" Country Director-Cambodia กล่าวว่า เครือข่ายเอสซีจีตอนนี้ครอบคลุมปูนซีเมนต์ ปูนผสมเสร็จหรือรีดดี้มิกซ์ แผ่นพื้นสำเร็จรูป และกระเบื้องหลังคาคอนกรีต ในปี 2549 เมื่อความต้องการใช้ใกล้ชนเพดานจึงเริ่มสร้างไลน์ที่ 2 ในปี 2556 แล้วเสร็จและเดินเครื่องผลิตจริง เดือน ส.ค. 2558 สำหรับไลน์ผลิตที่ 2 ลงทุนเพิ่ม 130 ล้านเหรียญสหรัฐ กำลังผลิตรวม 2.3 ล้านตัน/ปี

กลยุทธ์ชูคุณภาพเป็นตัวนำ

"ทุกวันนี้ การลงทุนในกัมพูชาจำนวน 2,500 ตัน/วัน นำเข้าปูนจากไทยอีก 2,500 ตัน/วัน ต่อไปจะลดบทบาทนำเข้า"

โอกาสทางธุรกิจทั้งซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง "สมหวัง" ฟันธงไว้เลยว่าตลาดกัมพูชายังเติบโตได้อีกมหาศาล หากโฟกัสเฉพาะชาวกัมพูชา 15 ล้านคนในปัจจุบัน รายได้เฉลี่ย 1,000 เหรียญสหรัฐ/หัว หรือ 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แนวโน้มจีดีพีเติบโตปีละ 7.2% ต่อเนื่องใน 5 ปีหน้า ขนาดตลาดจะใหญ่มากเพราะมีสูงถึง 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

กลยุทธ์การแข่งขันจึงต้องเริ่มจาก 1.คุณภาพสินค้า 2.ระบบจัดจำหน่าย ปัจจุบันมีดีลเลอร์หลัก 47 ราย กับซับดีลเลอร์พันกว่าแห่ง นำเสนอสินค้าใหม่สู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญต้องเลือกเซ็กเมนต์ให้ชัดเพราะความต้องการลูกค้าเริ่มหลากหลายมากขึ้น

"เราเป็นผู้นำในตลาดกัมพูชาอยู่แล้วทำยังไงให้ยั่งยืนคุณภาพต้องทำให้ดีจุดแข็งสินค้าเราทุกคนยอมรับว่าคุณภาพดีต้องทำงานหนักมากขึ้นในเรื่อง Quality Gap หรือการตัดเซ็กเมนต์"

คำอธิบายของกลยุทธ์ "ตัดเซ็กเมนต์" ปัจจุบันยอดขายปูนพอร์ตแลนด์หรือปูนโครงสร้าง มีสัดส่วน 87% เพราะราคาถูกกว่า ขณะที่ปูนพลาสเตอริ่งหรือปูนฉาบ มีสัดส่วนยอดขายแค่ 13% นั่นคือพฤติกรรมผู้บริโภคยังมีการนำปูนโครงสร้างไปใช้แทนปูนฉาบ ดังนั้น หากจัดกิจกรรมให้ความรู้ผู้บริโภคใช้ปูนเฉพาะทางให้ถูกต้อง ผลักดันยอดขายปูนพลาสเตอริ่งเพิ่มเป็น 40% รายได้ก็จะโตโดยอัตโนมัติทันที

ทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่

"ศุภกิจ ภู่เจริญศิลป์" ผู้จัดการโรงงาน บริษัทกัมปอตซิเมนต์ ์ อธิบายว่า โรงงานได้รับสัมปทาน 50 ปีจากรัฐบาลกัมพูชา มีพื้นที่ 80 เฮกตาร์ (1 เฮกตาร์เท่ากับ 10,000 ตร.ม.) ล่าสุดสัมปทานยังเหลือเวลาอีก 42-43 ปี ตามแผนไลน์ผลิตมี 4 เฟส เพิ่งลงทุน 2 เฟส อีก 3-4 ปีก็เต็มกำลังผลิตแล้ว มีพนักงานคนท้องถิ่น 461 คน

ระบบการผลิตจะมีกระบวนการทำงานเหมือน "เซมิโอเพ่นฮับ" เจาะภูเขาโดยยังเหลือขอบด้านข้างไว้ ไม่ได้ใช้วิธีทลายเขาทั้งลูก ดังนั้น ด้านบนขอบภูเขาจึงเป็นเหมือนบัฟเฟอร์โซน ทำให้ฝุ่นกับเสียงไม่กระจายตัวออกมารบกวนชุมชนรอบข้าง "ข้อดีคือสิ่งแวดล้อมจะดีมากเพราะใช้ภูเขาไม่หมดทั้งลูก ต้นทุนแบบนี้จะสูงกว่าโรงผลิตปูนทั่วไป แต่เป็นนโยบายของเอสซีจี"

"พงศ์ธนา เดชวิทยาพร" ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด ตบท้ายด้วยข้อมูลการทำตลาด จะต้องรักษาความเป็นผู้นำด้านสินค้าคุณภาพ โดยจะมีสินค้าใหม่ทยอยนำเสนอต่อเนื่อง อาทิ กระเบื้องเซรามิกส์ สมาร์ทบอร์ด อิฐมวลเบา เป็นต้น ถือเป็นจุดขายที่ได้เปรียบในเชิงการแข่งขันเพราะผู้บริโภคยอมรับตราสินค้าเป็นอย่างสูง

ผู้บริโภคยอมรับว่าสินค้าคุณภาพเราดี"ตำไรคุณเพียบละออ" แปลตรงตัวว่า สินค้าช้างคุณภาพดี



ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

"พินทองทา" เปิดกรุที่ดินชินวัตร ลุยธุรกิจอสังหาฯให้เช่า "เขาใหญ่"


สัมภาษณ์
หลังเปิดตัวลงสนามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัวจัดตั้งบริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด นำที่ดินเก่าของ"ตระกูลชินวัตร" ที่เขาใหญ่ประมาณ 40 ไร่ เนรมิตเป็นโรงแรม-วิลล่า ภายใต้ชื่อ "โครงการ เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่" เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา

ล่าสุด "เอม-พินทองทา คุณากรวงศ์ (ชินวัตร)" เตรียมรุกหนักธุรกิจนี้อีกครั้ง หลังเว้นช่วงไปรับบทคุณแม่มือใหม่

"โครงการที่เขาใหญ่นี้เอมดูเต็ม ๆ ถ้าเป็นคอนโดมิเนียมเอมจะดูน้อยมาก จะเน้นหนักทำโรงแรมมากกว่า บริษัทเรนด์ฯจะมีเอมกับอิ้ง (แพรทองธาร) ช่วยกันดูส่วนพี่พงศ์ (สามี) จะรับผิดชอบดูแลบริษัทเอสซี แอสเสทฯ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โฟกัสการพัฒนาโครงการบ้านกับคอนโดมิเนียมเป็นหลัก ส่วนเรนด์ฯจะดูแลการลงทุนอสังหาฯเชิงพาณิชย์ ที่ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ไม่ได้ทำ "เอม-พินทองทากล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ"

สำหรับโครงการ "เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่" สร้างบนที่ดินประมาณ 40 ไร่ ติดถนนธนะรัชต์ เยื้องกับปาลิโอ้ เป็นที่ดินมรดกของคุณแม่ (คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์) ซื้อมาเมื่อ 20 ปีที่แล้วได้ลงทุนก่อสร้างตั้งแต่ที่ดินยังเป็นพื้นดินสีแดง เริ่มพัฒนาก่อน 10 ไร่มูลค่าโครงการประมาณ 300 ล้านบาท พัฒนาเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว จำนวน 60 ยูนิต รูปแบบห้องพัก54 ห้อง และพูลวิลล่า 4 หลัง มีบริษัทเรนด์ฯดูการบริหารโครงการให้ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีอัตราเข้าพักอยู่พอสมควร

ส่วนที่ดินเหลืออีกประมาณกว่า 20 ไร่ ยังเก็บไว้รอดูจังหวะตลาด อาจจะพัฒนาเอง หรือให้บริษัทเอสซีฯมาดำเนินการก็ได้ หากจะนำที่ดินมาสร้างเป็นบ้านขาย เราก็ให้เอสซีทำ ในลักษณะคงเป็นการขายที่ดินให้เอสซีนำไปพัฒนาต่อ แต่ยังเป็นเพียงแนวคิดนะคะ ปัจจุบันยังเป็นที่ดินของคุณแม่อยู่

"ที่ดินของคุณแม่มีหลายแปลงมาก (หัวเราะ) แต่เอมจำไม่ได้ว่ามีที่ไหนบ้างแล้ว ซึ่งเอมมาดูว่าเรามีแลนด์แบงก์ตรงไหนบ้าง ตรงที่นี่ (เขาใหญ่) มีศักยภาพหน่อย เอมเลยดึงมาพัฒนาก่อน เอมรอลูกโตอีกนิดหนึ่ง (หัวเราะ) จะมาลุยเต็มที่คราวนี้ บอกแม่ว่าค่อย ๆ ทำไปก่อน"
จากที่ดินเขาใหญ่ "พินทองทา" ได้อัพเดตโครงการคอนโดมิเนียมทำเลสาทรซอย 7 ภายใต้ชื่อ "ฮัดสัน" สไตล์โมเดิร์นนิวยอร์กใกล้สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง

"พินทองทา" เล่าว่า โครงการนี้เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เดิมเป็นอาคารเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์สาทรแมนชั่นของครอบครัวและก็นำมารีโนเวตใหม่ เป็นอาคาร 12 ชั้น เพียง 49 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 50-220 ตารางเมตร โดยชั้น 11 และ 12 เป็นแบบเพนต์เฮาส์3 ห้องนอน ชั้นละ 1 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ยตารางเมตรละ 1.3 แสนบาท มีบริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) เป็นตัวแทนขาย

ปัจจุบันยังเปิดขายอยู่ มียูนิตเหลือขายประมาณ 3-5 ยูนิตในนี้มีเพนต์เฮ้าส์ 1 ยูนิต จากทั้งหมด 49 ยูนิต ซึ่งกลุ่มลูกค้ามาซื้อเป็นคนไทยที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่า เนื่องจากเป็นห้องไซซ์ใหญ่ ปัจจุบันมีปรับราคาเล็กน้อย แต่ราคายังไม่ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับโครงการอื่น ๆ อยู่ในทำเลเดียวกัน เช่น โครงการคอนโดศาลาแดงวัน เป็นต้น

"ธุรกิจอสังหาฯที่เอมทำจะไม่ทับไลน์กับเอสซีฯ ของเราจะเน้นซื้อโครงการเก่าที่มีอยู่แล้วนำมารีโนเวตใหม่ ไม่เหมือนเอสซีซื้อที่ดินมาทำคอนโดฯอย่างที่สาทรเป็นอพาร์ตเมนต์กึ่งโรงแรมเดิม แล้วมารีโนเวตใหม่ทั้งหมด ยกเครื่องระบบลิฟต์ อะไรใหม่หมด เพราะถ้าเราทุบจะไม่ได้ ตามกฎหมายใหม่ที่จะสร้างสูงไม่ได้ติดระยะถอยร่นถนน"

สำหรับโครงการนี้ "พินทองทา" คาดหวังว่า ถ้าขายได้หมดจะมียอดขายรวมประมาณ 700 ล้านบาท



ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

อีก 17 ปี เมื่อกรุงเทพฯขยาย



การบรรยายพิเศษเรื่อง การสร้างโอกาสจากความเป็นเมือง (Urbanization) ซึ่งผศ.ดร.นิรมล กุลศรีสมบัติ ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางผังเมืองเป็นผู้บรรยาย ในงานมหกรรมความรู้ ครั้งที่ 4 ที่จัดโดยสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ OKMD เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา 

ประชาชาติธุรกิจ สรุปเนื้อหาในมุมมองของสื่อที่เกี่ยวข้องกับโอกาสธุรกิจมานำเสนอ โดยการบรรยายในครั้งนั้นได้สะท้อนให้เห็นในอีก 17 ปีข้างหน้าด้วยว่า เมื่อผังเมืองเปลี่ยน เทคโนโลยีการสื่อสารที่ดีขึ้นรวดเร็วขึ้น การเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน ขณะที่การคมนาคมต่าง ๆ โครงการรถไฟฟ้า ระบบรางที่เกิดขึ้น ทำให้การขนคนจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเมืองได้ในเวลาอีกไม่นานนั้น นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ

ประการแรก การพัฒนาระบบราง และจุดเปลี่ยนถ่าย สถานีต่าง ๆ จะกลายเป็นแนวโน้มในการฟื้นฟูเมืองรอบ ๆ สถานีทั้ง 246 สถานี ระบบรางจะร่วมกับระบบขนส่งรอง อย่างเช่น เรือ มอเตอร์ไซค์ รถตู้มากขึ้น 

มีธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ตามมา อย่างเช่น การส่งสินค้าผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ แบบถึงบ้านจะเพิ่มมากขึ้น ในอีกมุมความสะดวกสบาย ทำให้คนจะเคลื่อนไหวน้อยลง เพราะการบริการทุกอย่างจะวิ่งเข้ามาหา ผลกระทบอื่นๆ ที่ตามมาเช่น พื้นที่การค้าหดตัวเล็กลง ห้างใหญ่ไม่มีความจำเป็น เพราะคนสั่งสินค้าได้ และจัดมาส่งให้ได้ ส่วนตลาดสดต่าง ๆ ก็อาจจะกลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเมืองแทนก็ได้ 

ระบบไอซีทียังทำให้ชีวิตเป็นการเรียนรู้ทุกเวลา การพัฒนาฐานข้อมูลของเมือง ทำให้คนเมืองใช้สมาร์ทดีไวซ์ได้ในทุก ๆ ที่สามารถรับข่าวสารได้ตลอด 24 ชั่วโมง เกิดพฤติกรรมของผู้บริโภคแบบใหม่เพิ่มขึ้น 

เช่นพื้นที่แห่งการพักผ่อนรูปแบบใหม่ ที่การสื่อสารเข้าไปไม่ถึงก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย

มีอิสระการทำงาน ทำที่ไหนก็ได้ ส่งงานที่ไหนก็ได้ การทำงานเริ่มยืดหยุ่นมากขึ้น 

ธุรกิจแบบที่เราจะเห็นในปัจจุบันบ้างแล้วคือการแชร์พื้นที่กันทำงานในรูปแบบต่าง เช่น โคเวิร์กกิ้ง สเปซ ที่จะผุดขึ้นอย่างมากในอนาคต ในทางตรงกันข้าม อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ก็จะน้อยลงไป อาจจะเป็นตึกแถวโบราณหรือที่พักอาศัยที่มีอินฟราสตรักเจอร์รองรับครบครัน และกระจายตัวไปตามชุมชน หมู่บ้าน คนอาจจะไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่ศูนย์กลาง หรือเข้าเมืองแบบในปัจจุบัน 

ระบบราชการต่าง ๆ จะหดลง จะมีการรวมศูนย์วันสต็อปมากขึ้น เกิดการรวมภาครัฐ เอกชน เช่น วันสต็อปการทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่ร้านสะดวกซื้ออย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ 

รสนิยมการท่องเที่ยว จากการนั่งรถทัวร์ไปที่เดียวกัน ปรับเปลี่ยนมาเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ระบบไอซีทีจะช่วยติดอาวุธให้กับชาวชุมชนย่านเก่า สามารถที่จะเป็นผู้ประกอบการได้จริง ติดต่อกับลูกค้าและพื้นที่ย่านเมืองเก่าราคาสูงขึ้น แนวโน้มการพัฒนาที่ดินเป็นการเช่ามากกว่าการขายขาด 

เทรนด์อุตสาหกรรมในอนาคต เราจะได้เห็นอุตสาหกรรมประเภทที่ใช้พื้นที่ขนาดเล็กๆ ดูแลเรื่องมลพิษ มีพื้นที่สีเขียว การใช้เครื่องพรินต์ 3 มิติเข้าช่วยลดขนาดของงาน โดยไม่ต้องใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ ดังนั้นธุรกิจบางชนิดสามารถที่จะกลับเข้าสู่ย่านเมืองเก่า อาคารตึกแถวบ้านพักสามารถทำได้ จึงเป็นโอกาสของย่านเมืองเก่าในอนาคต 

การพัฒนาแหล่งพลังงานที่หลากหลาย เรื่องสิ่งแวดล้อม แนวโน้มจะหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น เช่น จากขยะในรูปแบบต่าง ๆ จากการพัฒนาทางจักรยาน ก็จะเป็นที่มาของการผลิตพลังงานและนำไปใช้ต่อไป

ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://bangkok250.org/


ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

อนาคตใหม่ในกัมพูชา (1) จีดีพีหนุนส่งอสังหาฯบูมยาว


ฮ่องกง 2 หรือโครงการสีหนุวิลล์ ที่เกาะกง ประเทศกัมพูชา ถือเป็นอภิโปรเจ็กต์เพราะมีมูลค่าโครงการถึง 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ กับระยะเวลาดำเนินการ 8 ปี (2554-2562) เป็นหนึ่งในตัวอย่างโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ว่ากันว่ากำลังเข้าสู่ยุคบูมสุดขีด

และเป็นเหตุผลดึงดูดทั้งดีเวลอปเปอร์ตลอดจนผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างหลากสัญชาติเข้าไปลงทุน อย่างน้อยที่สุด ภาวะเศรษฐกิจกัมพูชาก็เป็นหนึ่งในประเทศดาวรุ่ง โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ประเมินว่าแนวโน้มอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจจะสูงถึง 7.2% ติดต่อกันในระยะ 5 ปีหน้า (2558-2562)

สำหรับนักลงทุนไทย เครือเอสซีจี โดย "กานต์ ตระกูลฮุน" กรรมการผู้จัดการใหญ่ ประกาศวิสัยทัศน์เมื่อ 9 ปีที่แล้วว่าเอสซีจีจะเป็นเบอร์ 1 ในตลาดอาเซียน วันนี้และปีนี้จึงเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลงานและความสำเร็จในกัมพูชา

บ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ต้อง 3 ชั้น

"เฉพาะปีนี้มีการพัฒนา 50 โปรเจ็กต์ในพนมเปญ ตลาดก่อสร้างที่นี่จึงใหญ่มาก"
คำกล่าวของ "คุณโอ้-สุชาติ กัลยาณคุณ" Branding and Marketing Manager เอสซีจี ซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง โดยจุดเน้นอยู่ที่เป็นโครงการก่อสร้างในหมวดอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนใหญ่ ทั้งประเภทโรงแรม ศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร รวมทั้งบ้านสร้างเองของผู้มีอันจะกินในกัมพูชา

นั่นหมายความว่า ภาคอสังหาฯ มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ ทั้งโครงการจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ รวมทั้งโครงการแนวสูงทั้งคอนโดฯ และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ถือว่ามาแรงทีเดียว 

เจาะข้อมูลอสังหาฯให้เช่าแบบรายเดือน รองรับนักลงทุนและผู้บริหารชาวต่างชาติที่ทำงานในกัมพูชา ที่เรียกกว่าลูกค้ากลุ่ม expat "คุณโอ้-สุชาติ" บอกว่า ปัจจุบัน พำนักอยู่เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์เกรด B+ ออกแบบเป็นห้องชุด พื้นที่ใช้สอย 45 ตร.ม. ค่าเช่าเดือนละ 800 เหรียญสหรัฐ ฟังก์ชั่นมีครบทั้งห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ถ้าไม่รวมระเบียง ค่าเช่าจะถูกลงไปอีก 50 เหรียญสหรัฐ ถือเป็นตัวอย่างของอสังหาฯ ให้เช่าที่เป็นตึกสูงตั้งแต่ 8-15-20 ชั้น

ในขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดกัมพูชา ถ้าเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ นิยมสร้างแบบ 3 ชั้น เพราะเป็นครอบครัวใหญ่ มีลูกอย่างน้อย 3 คน ยุคนี้แม้ว่าคนรุ่นใหม่เมื่อแต่งงานแล้วมักจะแยกตัวออกมาสร้างบ้านอยู่เอง แต่ก็ยังนิยมสร้าง 3 ชั้นอยู่ดี โดยเทรนด์สร้างบ้าน หน้าตาแบบบ้านจะเหมือนเมืองไทย คำเฉลยเป็นเพราะสถาปนิกไทยเป็นคนออกแบบนั่นเอง 

ต่างชาติซื้อคอนโดฯ ได้ 69%

ถัดจากแนวราบมาคุยถึงแนวสูงดูบ้าง "พี่เหลี่ยม-พงศ์ธนา เดชวิทยาพร"Sales and Marketing Manager มีเกร็ดข้อมูลมาฝากว่า ตลาดคอนโดฯ น่าสนใจ เทียบกับเมืองไทย ให้ต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ได้ 49% แต่กัมพูชาให้มากกว่าถึง 69% ในขณะที่การถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน เอกชนกัมพูชาถือครองกรรมสิทธิ์ได้ แต่ยังไม่อนุญาตให้กับคนต่างชาติแต่อย่างใด

"ดีมานด์หลักมาจากลูกค้าชาวต่างชาติ ที่มีความต้องการเช่าคอนโดฯ หรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์สูงมาก อย่างน้อยซื้อคอนโดฯ เพื่อลงทุนให้เช่าก็ถือว่าคุ้ม"

ในส่วนของราคาที่ดิน เมืองไทยวัดขายเป็น ตร.ว. (เท่ากับ 4 ตร.ม.) ในกัมพูชามีหน่วยวัดเป็น ตร.ม. เห็นบอกว่าราคากลาง ๆ จะตก 5,000 เหรียญสหรัฐ ไปจนถึงตร.ม.ละ 1-5 หมื่นเหรียญสหรัฐก็มี ราคาบ้านเฉลี่ยเริ่มต้นกันที่ 7 หมื่นเหรียญ สูงสุด 3 แสนเหรียญสหรัฐ นับว่าไม่ธรรมดากันเลยทีเดียว

ทำเลเกิดใหม่ 8 หัวเมืองหลัก

สำหรับภาพรวมธุรกิจก่อสร้าง ประเมินว่าสถิติปีนี้ทั้งประเทศมีมูลค่ารวม 33,463 ล้านบาท ตลาดใหญ่สุดกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวงพนมเปญ มูลค่า 16,731 ล้านบาท สัดส่วน 50%

ที่เหลือเกลี่ยให้ 8 หัวเมืองหลัก สัดส่วนรวมกัน 34% อาทิ เสียมเรียบ 2,000 ล้านบาท สตึงเตร็ง 1,300 กว่าล้านบาท กำปงโสม 600 กว่าล้านบาท ฯลฯ กับหัวเมืองที่เหลือ รวมกัน 16% มูลค่าตลาด 5,000 กว่าล้านบาท

ในขณะที่แนวโน้มจีดีพีคาดว่าจะโตปีละ 7% ไปอีก 5 ปีข้างหน้า ธุรกิจก่อสร้างก็มีแนวโน้มเติบโตเป็นเงาตามตัวเช่นเดียวกัน


ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

ศุภาลัยผุดคอนโดพระราม 3 พาร์ค 24 จัดโปรหุ้นแลกห้อง

ชีวิตต้องดำเนินต่อไป "ศุภาลัย" เปิดคอนโดฯแท่งใหม่ทำเลพระราม 3 ห้องชุดไซซ์เริ่มต้น 34 ตร.ม. เคาะขายเริ่ม 2.5 ล้าน "พาร์ค 24" แหวกสุด ๆ จัดแคมเปญหุ้นแลกห้อง ใจดีนำหุ้นใน SET 50 วางแทนเงินดาวน์ 20% แต่จำกัดจำนวนแค่ 20 ห้องเท่านั้น
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย เปิดเผยว่า บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่โซนพระราม 3 แบรนด์ "ศุภาลัย ไลท์ รัชดา-นราธิวาส-สาทร" บนที่ดิน 4 ไร่เศษ ออกแบบเป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ 27 ชั้น 1 อาคาร มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท เตรียมจัดอีเวนต์พรีเซลโครงการ 22-28 ก.ย.นี้ ห้องชุดพื้นที่ใช้สอย 34-135 ตร.ม. รวม 566 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.5-11.8 ล้านบาท เฉลี่ย ตร.ม.ละ 70,900 บาท

สำหรับโปรโมชั่นช่วงพรีเซล ลูกค้าที่จองซื้อรับฟรี เครื่องปรับอากาศ วอลเปเปอร์ ชุดครัว เครื่องทำน้ำร้อน ฉากกั้นอาบน้ำแบบกระจกนิรภัย และวิดีโอดอร์โฟน (เฉพาะยูนิตที่กำหนด)

"จุดเด่นโครงการนี้ บริษัทนำแลนด์แบงก์ที่ถือในมือมานานกว่า 3 ปีมาพัฒนาโครงการ ดังนั้นต้นทุนที่ดินจึงเป็นต้นทุนเก่า โดยบริษัทไม่ได้นำมาบวกในราคาขาย ทำให้ห้องชุดในโครงการนี้มีราคาที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงได้ หรือที่เรียกว่า Affodable"

นายไตรเตชะกล่าวว่า ปีนี้ศุภาลัยมีแผนเปิดตัวแนวราบและแนวสูงรวมกัน 27 โครงการ โฟกัสเฉพาะทำเลใจกลางเมืองเตรียมเปิดตัวใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 22,000 ล้านบาท ผลประกอบการครึ่งปีแรกทำได้ 10,200 ล้านบาท ถือว่าต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย บริษัทยังมั่นใจว่าสามารถทำได้ตามเป้า จึงไม่ได้ทบทวนหรือปรับลดเป้ารายได้แต่อย่างใด

ในขณะที่ยอดปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินสูงขึ้นเล็กน้อยจาก 6% เพิ่มเป็น 7% แต่ก็ยังสามารถบริหารจัดการได้ โดยจะเข้าไปช่วยให้คำแนะนำลูกค้าอย่างใกล้ชิดร่วมกับพันธมิตรสถาบันการเงิน

นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราวด์ เรสซิเดนซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ผลคืบหน้ายอดขายคอนโดฯ พาร์ค 24 เฟส 2 ทำได้มากกว่า 75% เหลืออีก 25% ดังนั้นเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจผู้บริโภค จึงได้จัดแคมเปญ "พาร์ค 24 บีลีฟ อิน ไทยแลนด์" ภายใต้แนวคิด "หุ้นแลกห้อง" เงื่อนไขนักลงทุนที่ถือครองหุ้นในกลุ่ม SET 50 สามารถนำหุ้นมาเปลี่ยนเป็นเงินจองและเงินดาวน์ 20% โดยบริษัทจะคำนวณมูลค่าหุ้นจากดัชนีปิดสูงสุดของวันที่ 13 ก.พ. 58 ซึ่งดัชนีสูงสุดปิดที่ระดับ 1,615 จุด โดยจำกัดจำนวนห้องชุดเข้าร่วมแคมเปญเพียง 20 ยูนิต

รายละเอียด พาร์ค 24 เฟส 2 ออกแบบเป็นตึกสูง 29, 44 และ 51 ชั้น จำนวน 3 อาคาร รวม 1,174 ยูนิต ห้องชุดมีให้เลือกแบบ 1-2 ห้องนอน และดูเพล็กซ์ พื้นที่ใช้สอย 25-118 ตร.ม. เฉลี่ย ตร.ม.ละ 2.3 แสนบาท โครงการอยู่ระหว่างก่อสร้าง ตามแผนคาดว่าจะแล้วเสร็จและทยอยส่งมอบให้กับลูกค้าได้ภายในปี 2561


ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

"กทม."ตื่นเช็กบิล คอนโดเช่ารายวัน ขู่โทษติดคุก-ปรับ

คอนโดฯให้เช่ารายวันสะดุดตอไร้กฎหมายควบคุม "สคบ." โบ้ยดูแลเฉพาะปัญหาสัญญาไม่เป็นธรรม "สมาคมนิติบุคคลฯ" แฉเจ้าของโครงการบางรายโอนห้องครึ่งเดียว ที่เหลือปล่อยเช่าแบบโรงแรม แถมกันที่จอดรถไว้รับแขก"กทม." เต้น ส่งหนังสือเวียน 50 เขตตรวจเข้ม ชี้เลี่ยงกฎหมายโรงแรม-ภาษีเงินได้-ใช้อาคารผิดประเภท ขู่จับได้โทษหนักทั้งจำ-ทั้งปรับ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระแสการนำคอนโดมิเนียมปล่อยให้เช่าแบบรายวัน กำลังได้รับความนิยมจากผู้ซื้อหรือเจ้าของห้อง เนื่องจากเป็นทางเลือกในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์รูปแบบหนึ่ง จากเดิมที่มักจะเป็นการปล่อยเช่าแบบรายเดือน ซึ่งผู้เช่ามีวัตถุประสงค์เช่าเพื่อการอยู่อาศัยระยะยาว มีการทำสัญญาเช่าอย่างน้อย 6 เดือน-1 ปี 

ล่าสุด มีคอนโดฯเกิดใหม่จำนวนมาก ทำให้ซัพพลายล้นเกินความต้องการเช่า จึงมีการปรับตัวโดยหันมาเจาะลูกค้าเช่าค้างคืนหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติมาก ขึ้น อย่างไรก็ตาม การนำคอนโดฯให้เช่ารายวันกำลังสร้างปัญหาใหม่ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่เคยมีกฎหมายควบคุมโดยตรงมาก่อน 

สมาคมนิติฯชี้ผิด กม.เพียบ

นาย วิวัธน์ ศรีเจริญวงศ์ นายกสมาคมบริหารสินทรัพย์แห่งประเทศไทย มีสมาชิกเป็นผู้รับจ้างบริหารนิติบุคคลอาคารชุด เปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในทางกฎหมายแล้ว การนำห้องชุดเปิดให้เช่ารายวันถือว่าผิดกฎหมาย ภายใต้ พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ. 2478 เพราะไม่ได้จดทะเบียนเป็นโรงแรม มีผลทำให้ห้องชุดหรืออาคารชุดไม่ได้คุ้มครองผู้บริโภคตามข้อบังคับโรงแรม เช่น กรณีทรัพย์สินผู้เข้าพักสูญหายในพื้นที่ส่วนกลาง จะไม่มีผู้รับผิดตามกฎหมาย

ส่วนนิติบุคคลซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มีหน้าที่ดูแลได้เพียงพื้นที่ส่วนกลาง จึงไม่สามารถยุ่งเกี่ยวหากเจ้าของห้องนำห้องชุดปล่อยเช่ารายวัน แต่สามารถดูแลได้กรณีที่แขกเข้าพักของห้องชุดมาใช้บริการในพื้นที่ส่วนกลาง

"ผู้เช่ามีสิทธิ์ใช้พื้นที่ส่วนกลางตามโควตาของเจ้าของห้องจริง เช่น มีคีย์การ์ดสำหรับใช้สิ่งอำนวยความสะดวก 2 ใบ ผู้เช่าที่มาใช้ก็จะต้องมีไม่เกิน 2 คน ถ้าหากมีการใช้เกินสิทธิ์ นิติบุคคลสามารถเรียกเก็บค่าใช้บริการได้ ถ้าหากสร้างความเสียหายให้ทรัพย์สิน นิติบุคคลก็จะเรียกเก็บค่าเสียหายกับเจ้าของห้องชุด และถ้านิติบุคคลพบว่าเจ้าของห้องนำห้องชุดไปโฆษณาลักษณะเดียวกับโรงแรม สามารถฟ้องร้องหมิ่นประมาทได้ เพราะถือเป็นการทำให้อาคารชุดเสียชื่อเสียง" นายวิวัธน์กล่าว

เจ้าของห้องชุดรวมตัวโวย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับข้อร้องเรียนจากผู้ซื้อคอนโดฯแห่งหนึ่ง โครงการตั้งอยู่ทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง ย่านนนทบุรี โดยระบุว่า ประเด็นการนำห้องชุดปล่อยเช่ารายวันสร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าของห้องชุด ส่วนใหญ่ในโครงการเดียวกัน สาเหตุที่ทราบเพราะเจ้าของห้องชุดหรือเจ้าของร่วมพบข้อความโฆษณาในเว็บไซต์อ โกด้า และมีเพจเฟซบุ๊กด้วย โดยชูจุดขายเป็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา สระว่ายน้ำ และฟิตเนสส่วนกลางลอยฟ้า พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา อัตราค่าเช่าเสนอแพ็กเกจค่าห้องรวมอาหารเช้าด้วย

ทั้งนี้ เจ้าของร่วมที่ไม่เห็นด้วยให้เหตุผลว่า เป็นการใช้อาคารผิดประเภท ที่สำคัญมีผลกระทบด้านความปลอดภัยในโครงการ เพราะพฤติกรรมผู้เช่ารายวันมักจะทำตัวฝ่าฝืนกฎระเบียบการพักอาศัยตามปกติ ไม่เหมือนผู้เช่าแบบรายเดือน ดังนั้น จึงได้รวมตัวลงชื่อคัดค้านการนำห้องชุดให้เช่ารายวัน รวมทั้งมีการล่าลายชื่อเพื่อร้องเรียนปัญหาไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครอง ผู้บริโภค (สคบ.) ศูนย์ดำรงธรรม กรมสรรพากร และแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวัน

สคบ.โบ้ยดูแลแค่สัญญาเช่า

แหล่งข่าวจากกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญา สคบ. กล่าวว่า การนำห้องชุดปล่อยเช่ารายวันในลักษณะโรงแรม น่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ. 2478 แต่ทั้งนี้ต้องดูว่าผู้กระทำผิดเป็นใคร หากเป็นผู้พัฒนาโครงการและนำอาคารชุดซึ่งไม่ได้จดทะเบียนโรงแรมออกให้เช่า รายวัน น่าจะมีความผิดแน่นอน เพราะถือเป็นการจดทะเบียนผิดประเภท แต่ถ้าหากเป็นเจ้าของห้องรับโอนกรรมสิทธิ์อาจจะต้องตีความก่อนว่าผิดกฎหมาย หรือไม่

"ในส่วน สคบ.ไม่ได้ดูแลเรื่องนี้โดยตรง ถ้าร้องเรียนมาที่ สคบ. ก็จะต้องถูกส่งเรื่องต่อไปยังหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องมากกว่า เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในขณะที่ สคบ.จะดูแลเฉพาะกรณีพิพาทด้านสัญญาระหว่างผู้เช่ากับผู้ให้เช่าเท่านั้น โดยปกติผู้ร้องเรียนจะเป็นผู้เช่าที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ"

กทม.สั่ง 50 เขตตรวจเข้ม

นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กทม.ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น งานด้านรายได้ งานด้านโยธา ให้ตรวจสอบเกี่ยวกับการปล่อยให้เช่าคอนโดฯรายวันว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือ ไม่ อย่างไร เช่น พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ร.บ.โรงแรม หากมีการร้องเรียนเข้ามาก็จะเข้าไปตรวจสอบทันที ส่วนการกระทำในลักษณะนี้มีโทษทางกฎหมายทั้งติดคุก ปรับ หรือทั้ง 2 กรณี

นางสมรรัตน์ อรรถนิตย์ ผู้อำนวยการกองรายได้ สำนักการคลัง กทม. กล่าวว่า ผู้บริหาร กทม.ได้มีหนังสือสั่งการให้เข้าตรวจสอบเกี่ยวกับการปล่อยเช่าคอนโดฯรายวัน ตั้งแต่ 2 เดือนที่ผ่านมา จึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เขตทั้ง 50 เขตดำเนินการตรวจสอบการจัดเก็บภาษีตาม พ.ร.บ.โรงเรือนและที่ดิน พบว่า มีการลักลอบให้เช่าคอนโดฯที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่ และก็จะมีการจัดเก็บตามอัตราสัญญาเช่า เช่น มีการปล่อยเช่าเดือนละ 10,000 บาท ก็จะจัดเก็บภาษี 15,000 บาท/ปี 

"การทำงานเรื่องนี้มีอุปสรรคไม่ สามารถเข้าไปตรวจสอบคอนโดฯได้ทันที ต้องผ่านนิติบุคคลก่อน จึงอยากขอความร่วมมือ สคบ.เข้าไปตรวจสอบว่ามีโครงการใดที่ใช้อาคารผิดประเภท และแจ้งให้ กทม.เข้าไปตรวจสอบและจัดเก็บภาษีตามกฎหมาย ส่วนมาตรการอื่นที่จะเข้าไปดำเนินการกับเรื่องนี้ยังไม่มี ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานเขตเข้าไปจัดการก่อน และอยากขอความร่วมมือกับเจ้าของอาคารให้แจ้งเข้ามา เพื่อ กทม.สามารถเข้าไปดำเนินการตามกฎหมายได้"

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติม ว่า ความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 กำหนดไว้ว่าโทษในส่วนของอาญา ที่เกี่ยวกับเจ้าของหรือผู้ดำเนินการ กับอาคารที่ผิดกฎหมาย ซึ่งกำหนดไว้ในมาตรา 65 ว่าผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติเรื่องการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ต้องได้รับใบอนุญาต หรือแจ้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นทราบและปฏิบัติตามแบบที่เจ้าพนักงานท้องถิ่น กำหนด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

Cr.http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1442211606

ESTAR บุกจีนดึงกำลังซื้อต่างชาติ นิยมคอนโดมิเนียมไทยแถมราคาถูก

ESTAR บุกจีนดึงกำลังซื้อต่างชาติ นิยมคอนโดมิเนียมไทยแถมราคาถูก
รัตนชัย ผาตินาวิน
        อีสเทอร์น สตาร์ฯ ฉวยโอกาสค่าเงินบาทอ่อนบุกประเทศจีน เดินสายโรว์โชว์ 4 เมืองใหญ่ เฉินตู ฉงชิง คุณหมิง กุ้ยหยาง ดึงกำลังซื้อนักธุรกิจชาวจีน เผยจีนให้ความสนใจในคอนโดฯ ไทย เหตุมีราคาถูกกว่าคอนโดฯ ในประเทศแม้อยู่ใจกลางซีบีดี
      
       นายรัตนชัย ผาตินาวิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “ESTAR” กล่าวว่า บริษัทฯ จะนำโครงการ “STARVIEW” คอนโดมิเนียมหรู วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนพระราม 3 และโครงการ “NARA 9” คอนโดมิเนียมหรูบนถนนสาทร-นราธิวาส ใกล้รถไฟฟ้าช่องนนทรี ไปโรด์โชว์ในงาน “China Real Estate Business Exhibition 2015” ใน 4 เมืองใหญ่ ได้แก่ กุ้ยหยาง เฉินตู ฉงชิง คุนหมิง (Chengdu, Chongjin, Kunming, Guiyang) ในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2558
      
       “เนื่องจาก 4 เมืองนี้เป็นเมืองใหม่ที่กำลังมีการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ อาทิ เฉินตู เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 3 ของจีน และเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรม และการศึกษาของภูมิภาคตะวันตก ส่วนฉงชิ่ง เป็นเมืองใหญ่อันดับ 8 ของจีน เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำ และอุตสาหกรรมรถยนต์ เหล็ก เป็นต้น ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมของจีนเองก็มีราคาสูงกว่าประเทศไทยอยู่หลายเท่าตัว และนักธุรกิจจีนก็มีความสนใจในคอนโดฯ ของไทย เพราะแม้จะอยู่กลางเมืองแต่ก็มีราคาถูกกว่านอกจากนั้น เงินบาทที่อ่อนค่าลงยังเป็นปัจจัยบวกกับชาวต่างชาติที่สนใจซื้อคอนโดฯ เพราะมีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับต้นปีที่ผ่านมา ทั้งที่ซื้อเพื่อเป็นบ้านพักหลังที่สองหรือซื้อเพื่อลงทุน”
      
       ส่วนรายละเอียดประกอบด้วยการออกบูท ที่เมืองกุ้ยหยาง ในระหว่างวันที่ 24-27 กันยายน 2558 ณ Guiyang International Conference and Exhibition Center, เมืองเฉินตู ในระหว่างวันที่ 1-5 ตุลาคม 2558 ณ Chendu New Century International Exhibition Center, เมืองฉงชิง ระหว่างวันที่ 13-18 ตุลาคม 2558 ณ Chongjing Nanping Wanda Plaza และเมืองคุณหมิงในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2558 ณ Kunming International Exhibition Center โดยการไปโรดโชว์ครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน), Sawadeeka Real Estate Company ตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงจากประเทศจีน และบริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
      
       ปัจจุบัน โครงการ “STARVIEW” คอนโดมิเนียมหรู วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนพระราม 3 สูง 44 ชั้น และ 54 ชั้น จำนวน 556 ยูนิต ขนาด 2 ห้องนอน 77 ตร.ม. ราคาขายเริ่มที่ 8.4 ล้านบาท ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมโอน มียอดขายแล้ว 80% และในวันที่ 3 ตุลาคม 2558 นี้ จะมีการจัดงานปาร์ตี้ “STARVIEW JASS PARTY ” บนสระว่ายน้ำสูงเสียดฟ้าชั้น 44 ชมห้องจริง วิวจริง ส่วนโครงการ “NARA 9” คอนโดมิเนียมบนถนนสาทร-นราธิวาส สูง 40 ชั้น จำนวนทั้งหมด 361 ยูนิต มียอดขาย 85% เริ่มต้นที่ขนาด 39-78 ตร.ม. ราคาขายเริ่มที่ 6.6 ล้านบาท อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จในปี 2559

Cr.http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000107646&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

EMC เปิดตัว “Palmio” อมตะนคร หวังบุ๊กเป็นรายได้ Q4 ปี 59

EMC เปิดตัว “Palmio” อมตะนคร หวังบุ๊กเป็นรายได้ Q4 ปี 59
เศรษฐวัจน์ ตั้งวัชรพงศ์
        EMC เปิดตัวโครงการ “PALMIO” คอนโดมิเนียม Low Rise รวม 231 ยูนิต มูลค่า 261 ล้านบาท ชูจุดขาย “ชีวิตพักผ่อนเหนือระดับติดอมตะนคร” เปิดขายอย่างเป็นทางการวันนี้ ราคาเริ่มต้น 0.99 ล้านบาท ตุน Backlog รับรู้รายได้ Q4 ปีหน้า ด้านศุภาลัย เดินหน้าจัดโปรโมชัน ONE PRICE โครงการ “ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ สุราษฎร์ธานี” เร่งยอดบ้านเดี่ยวประหยัดพลังงาน “ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ สุราษฎร์ธานี”
      
       นายเศรษฐวัจน์ ตั้งวัชรพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อีเอ็มซี จำกัด (มหาชน) หรือ EMC ผู้บริหารโครงการ “PALMIO” กล่าวว่า เตรียมเปิดตัว “Palmio Amata Nakorn” (ปาล์มมิโอ อมตะนคร) โครงการคอนโดมิเนียม Low Rise ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ชีวิตพักผ่อนเหนือระดับติดอมตะนคร” โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ ใกล้กับทางออกของโครงการนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ถนนพิบูลย์ประชารักษ์ ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี
      
       สำหรับโครงการดังกล่าวพัฒนาเป็นคอนดดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น 3 อาคาร อาคารละ 77 ยูนิต รวมทั้งหมด 231 ยูนิต ขนาดห้อง 32-33 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 0.99 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 261 ล้านบาท สำหรับโครงการดดังกล่าวเน้นที่ฟังก์ชันการใช้งานแบบ ONE BEDROOM TYPE ตกแต่งครบพร้อม เข้าอยู่ได้เลย ซึ่งบริษัทคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมดในเดือนมิถุนายน 60 ซึ่งจะสามารถทยอยรับรู้รายได้จำนวน 261 ล้านบาท ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีหน้าเป็นต้นไป
      
       ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ที่ทำงานภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนครเป็นหลัก เนื่องจากมีจุดเด่นที่ทำเลที่ตั้งเชื่อมต่อกับถนนสายหลักใกล้กับนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร โดยจะเปิดขายอย่างเป็นทางการวันนี้ที่ Sales Gallery ของโครงการ โดยบริษัทคาดว่าโครงการนี้จะได้กระแสตอบรับที่ดี เนื่องจากเจาะตลาดฐานลูกค้าที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งมีจำนวนผู้ประกอบการถึง 820 ราย
      
       “โครงการ PALMIO ใช้แนวคิดในการสร้างที่อยู่อาศัยในบรรยากาศแห่งการพักผ่อน ท่ามกลางธรรมชาติอันรื่นรมย์ และยังสามารถเดินทางไปทำงานได้อย่างสะดวกสบาย ทำให้ชีวิตสมบูรณ์แบบทั้งชีวิตทำงาน และการพักผ่อน และที่สำคัญด้วยราคาเริ่มต้นไม่ถึง 1 ล้านบาท ทำให้กลุ่มผู้ที่ทำงานในนิคมอมตะนครซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเราสามารถเป็นเจ้าของได้ไม่ยาก โดยเปลี่ยนจากการเช่ามาเป็นเจ้าของคอนโด และด้วยแพกเกจตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบพร้อมเข้าอยู่ จึงเชื่อว่าโครงการนี้จะได้รับกระแสตอบรับที่ดี เพราะสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี” นายเศรษฐวัจน์ กล่าว
      
       ด้านบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เตรียมจัดงาน Life’s so good ชีวิตดี๊ดี @ ศุภาลัย ที่โครงการศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ สุราษฎร์ธานี ในวันที่ 26-27 กันยายน 2558 นี้ โดยลูกค้าจะได้พบกับโปรโมชันพิเศษ ONE PRICE บ้านเดี่ยวประหยัดพลังงาน ราคา 3.49 ล้านบาท เมื่อจอง และทำสัญญาภายในงานเพียง 30,000 บาท รับฟรี! Samsung Galaxy S6 edge บัตรพักโรงแรมศุภาลัย ภูเก็ต รีสอร์ท แอนด์ สปา สำหรับบ้านพร้อมโอนรับเพิ่มค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง 1 ปีแรก พิเศษสุดรับฟรี! ร่มศุภาลัยรับหน้าฝนเมื่อท่านเยี่ยมชม และ Check in ผ่าน Facebook
      
       “ผู้สนใจสามารถแวะเยี่ยมโครงการ “ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ สุราษฎร์ธานี” ตั้งอยู่บนทำเลถนนสุราษฎร์ธานี-พุนพิน ใกล้เซ็นทรัล ท่ากูบ พร้อมพบโปรโมชันพิเศษภายในงานดังกล่าว ณ สำนักงานขาย”

Cr.http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000106551&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

“ชลบุรี” ยังดึงดูดนักลงทุนด้านอสังหาฯ พบแต่ละเดือนมีโครงการขออนุมัติเพียบ

“ชลบุรี” ยังดึงดูดนักลงทุนด้านอสังหาฯ พบแต่ละเดือนมีโครงการขออนุมัติเพียบ
        ศูนย์ข่าวศรีราชา - รองพ่อเมืองชี้ชลบุรียังเป็นพื้นที่สนใจของนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เแต่ละเดือนมีการอนุมัติโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยกว่า 30 โครงการ โดยชลบุรีเตรียมแผนรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งโครงข่ายคมนาคม สาธารณูปโภค อนาคตจะเห็นภาพการขยายตัวของโครงการคอนโดฯ เข้าไปในสัตหีบ และบ้านบึงมากขึ้น
     
       วันนี้ (19 ก.ย.) นายเชาวลิตร แสงอุทัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพลัส คอนโด ศรีราชา ณ สำนักงานขายซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยมี นายนิมิต โมนฤมิตร ประธานกรรมการบริหาร และนายวุธิพรรษ์ กังสนันที กรรมการผู้จัดการบริษัท สิรีน พร๊อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด นายธานี รัตนานนท์ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองศรีราชา นายอาคม พันธ์เฉลิมชัย นายกเทศมนตรีเทศบาลนครเจ้าพระยาสุรศักดิ์ และแขกผู้มีเกียรติให้การต้อนรับ
      
       สำหรับ “พลัส คอนโด ศรีราชา ”เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู ขนาด 25 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 1.5 พันล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนสายสุขุมวิท-หนองยายบู่ ภายใต้คอนเซ็ปต์การตกแต่งแบบพร้อมอยู่ที่ทันสมัยสไตล์โมเดิร์น พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ราคาเริ่มต้นที่ 2.3 ล้านบาท ภายในงานได้เปิดผู้เข้าร่วมงานได้เข้าเยี่ยมชมการตกแต่งห้องพัก และรับฟังการบรรยายเกี่ยวกับความเป็นมาของโครงการ
      
       โดย นายเชาวลิตร แสงอุทัย เผยว่าแม้ภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศ และเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่จังหวัดชลบุรี ยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เดินต่อไปได้เรื่อยๆ เห็นได้จากที่ นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี มอบหมายภารกิจให้ดูแลด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ ซึ่งก็พบว่าในแต่ละเดือน จังหวัดชลบุรี มีการออกใบอนุญาตให้ผู้ประกอบการโครงการจัดสรรต่างๆ ไม่น้อยกว่า 30 โครงการ และมีคอนโดมิเนียมที่ขอทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ประมาณ 20 โครงการต่อเดือน
      
       “การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ยังเดินไปได้ แต่ก็อาจมีปัญหาเรื่องการทำธุรกรรมบ้างเล็กน้อย หลังธนาคารพาณิชย์เข้มงวดต่อการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของภาคเอกชนที่จะต้องวิเคราะห์สถานการณ์การลงทุน ส่วนพื้นที่ที่จะรองรับการเติบโตของภาคธุรกิจนั้น จังหวัดชลบุรี ได้เตรียมการไว้แล้ว และที่ผ่านมา ก็ได้ออกใบอนุญาตการทำผังเมืองฉบับใหม่ในพื้นที่เศรษฐกิจหลักแล้ว”
      
       นายเชาวลิตร เผยอีกว่า จากเดิมที่โครงการบ้านจัดสรรของจังหวัดชลบุรีกระจุกตัวอยู่เพียงเขตตัวเมืองชลบุรี ศรีราชา บางละมุง และสัตหีบ แต่นับจากนี้ไปจะเริ่มเห็นภาพโครงการบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมขยายตัวไปยังเขตสัตหีบ และอำเภอบ้านบึง ซึ่งถือเป็นพื้นที่ปริมณฑลของถนนสุขุมวิทมากขึ้น โดยจังหวัดชลบุรียังมีพื้นที่มากพอที่จะรองรับการขยายตัวในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
      
       ขณะที่การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคนั้น นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ได้วางโครงข่ายเสนอต่อรัฐบาลในหลายโครงการ โดยเฉพาะโครงการหลักด้านถนนหนทางที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจได้ว่าการลงทุนในโครงการต่างๆ ของรัฐบาล และการสร้างเทอร์มินอล แห่งใหม่ในสนามบินอู่ตะเภา รวมทั้งการเข้ามาของท่าเทียบเรือเฟอรี่ จะสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนได้อย่างแน่นอน
      
       ด้าน นายธานี รัตนานนท์ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองศรีราชา ระบุว่า ราคาที่ดินในเขตอำเภอศรีราชา ปัจจุบันปรับตัวจากตารางวาละ 8 หมื่นบาท เป็นราคา 2 แสน แต่ยังไม่ถึง 3 แสนบาท แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่า บรรดานายหน้าพากันปั่นราคาจนสูง ทำให้นักลงทุนบางส่วนไม่กล้าเข้ามาลงทุนในพื้นที่ จึงขอชี้แจ้งว่า ราคาที่แท้จริงของที่ดินในเขตเทศบาลเมืองศรีราชา ขณะนี้อยู่ที่ตารางวาละ 2 แสนบาท แต่ไม่ถึง 3 แสนบาทอย่างแน่นอน
      
       “การลงทุนด้านอสังหาฯ ในศรีราชาวันนี้ยังคึกคัก นักลงทุนจำนวนมากยังมุ่งหน้าสร้างคอนโดฯ จึงจำเป็นที่เราจะต้องขอให้นักลงทุนขยายการลงทุนเข้าไปในเขตเทศบาลนครเจ้าพระยาสุรศักดิ์บ้าง เพราะแม้เราจะได้ภาษี แต่ศรีราชา เมื่อมีคนมาอยู่มากจนทำให้การจราจรติดขัด และเรายังแก้ไขปัญหาไม่ได้ตามเป้าหมาย เพราะติดขัดเรื่องงบประมาณ” นายธานี กล่าว
“ชลบุรี” ยังดึงดูดนักลงทุนด้านอสังหาฯ พบแต่ละเดือนมีโครงการขออนุมัติเพียบ
       
“ชลบุรี” ยังดึงดูดนักลงทุนด้านอสังหาฯ พบแต่ละเดือนมีโครงการขออนุมัติเพียบ
       
“ชลบุรี” ยังดึงดูดนักลงทุนด้านอสังหาฯ พบแต่ละเดือนมีโครงการขออนุมัติเพียบ
       
Cr.http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000106056&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

“สิรีน พร๊อพเพอร์ตี้” ทุ่ม 1.5 พันล้าน ผุดโครงการ พลัส คอนโด ศรีราชา ถ.สุขุมวิท-หนองยายบู่

“สิรีน พร๊อพเพอร์ตี้” ทุ่ม 1.5 พันล้าน ผุดโครงการ พลัส คอนโด ศรีราชา ถ.สุขุมวิท-หนองยายบู่
        ศูนย์ข่าวศรีราชา - “สิรีน พร๊อพเพอร์ตี้” ทุ่ม 1.5 พันล้านบาท ผุดโครงการ พลัส คอนโด ศรีราชา บนถนนสายสุขุมวิท-หนองยายบู่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ภายใต้คอนเซ็ปต์ตกแต่งพร้อมอยู่สไตล์โมเดิร์น คาดปิดการขายได้ภายใน 6 เดือน เชื่อกำลังซื้อในพื้นที่ยังมีอยู่สูงแม้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว
      
       วันนี้ (17 ก.ย.) บริษัท สิรีน พร๊อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ภายใต้การนำของ นายนิมิต โมนฤมิตร ประธานกรรมการบริหาร และนายวุธิพรรษ์ กังสนันที กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ได้จัดให้มีการแถลงเปิดตัวโครงการ พลัส คอนโด ศรีราชา ณ สำนักงานขายในพื้นที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยมีสื่อมวลชนแขนงต่างๆ เข้าเยี่ยมชมห้องตัวอย่างที่จัดแสดง
      
       นายนิมิต กล่าวว่า บริษัท สิรีน พร๊อพเพอร์ตี้ฯ ก่อตั้งมาเป็นปีที่ 6 และได้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดภูเก็ต หาดใหญ่ และสุราษฎร์ธานี รวม 7 โครงการ มียอดขายรวมกว่า 4 พันล้านบาท ในปี 2558 มีแผนขยายการลงทุนเข้ามาในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี หลังพบมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หน่วยงานภาครัฐก็ยังสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาโครงข่ายสาธารณูปโภค และโครงข่ายคมนาคม เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง และเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา
“สิรีน พร๊อพเพอร์ตี้” ทุ่ม 1.5 พันล้าน ผุดโครงการ พลัส คอนโด ศรีราชา ถ.สุขุมวิท-หนองยายบู่
        สำหรับ “พลัส คอนโด ศรีราชา” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู ขนาด 25 ชั้น ภายใต้งบลงทุน 1.5 พันล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนสายสุขุมวิท-หนองยายบู่ ภายใต้คอนเซ็ปต์การตกแต่ง พร้อมอยู่สไตล์โมเดิร์น เหมาะสำหรับการลงทุน หรืออยู่อาศัยด้วยตนเอง นอกจากนั้น ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้ง ออนเซ็น สระว่ายน้ำ และฟิตเนสลอยฟ้า ห้องประชุมฯลฯ โดดเด่นด้วยระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด ขณะที่ลิฟต์เฉพาะชั้นถูกควบคุมด้วยระบบคีย์การ์ด และดิจิตอล ดอร์ ล็อก ราคาเริ่มต้นที่ 2.3 ล้านบาท
      
       “แม้เราจะขยายการลงทุนเข้ามาใน จ.ชลบุรี แต่ก็ยังไม่ทิ้งการลงทุนในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งหลังเปิดขายในโครงการเฟสแรกได้หมด เราก็จะมองหาพื้นที่อื่นๆ ของจังหวัดชลบุรีในการขยายการลงทุนต่อไป ทั้งนี้ คาดว่าโครงการนี้จะสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน หลังปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 20% โดยจะเริ่มลงเสาเข็มได้ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า และจะดำเนินการก่อสร้างในไตรมาสแรกของปี 2559 เพื่อให้แล้วเสร็จพร้อมอยู่ในไตรมาส 3 ของปี 2561”
“สิรีน พร๊อพเพอร์ตี้” ทุ่ม 1.5 พันล้าน ผุดโครงการ พลัส คอนโด ศรีราชา ถ.สุขุมวิท-หนองยายบู่
        ขณะที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือ กลุ่มนักลงทุนที่ซื้อห้องเพื่อปล่อยให้ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ได้เช่า และกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย
      
       2 ผู้บริหารบริษัท สิรีน พร๊อพเพอร์ตี้ฯ ยังเชื่อว่า จุดขายที่แข็งแก่รงด้านทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง การคมนาคมที่สะดวกสบาย และภาพรวมการตกแต่งที่ทันสมัย หรูหา สามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้อยู่อาศัย และชาวญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดีจะทำให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ที่สำคัญยังมั่นใจศักยภาพการทำงานของทีมเศรษฐกิจ และรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน รวมทั้งการออกโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังก็จะเป็นไปตามเป้าหมายอย่างแน่นอน
“สิรีน พร๊อพเพอร์ตี้” ทุ่ม 1.5 พันล้าน ผุดโครงการ พลัส คอนโด ศรีราชา ถ.สุขุมวิท-หนองยายบู่

Cr.http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000105223&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

BC ชี้ครึ่งปีแรกตลาดคอนโดฯ มือสองไปได้สวย โซนพญาไทครองแชมป์ราคาเฉลี่ยสูงสุด คาดครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง

BC ชี้ครึ่งปีแรกตลาดคอนโดฯ มือสองไปได้สวย โซนพญาไทครองแชมป์ราคาเฉลี่ยสูงสุด คาดครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง
        กรุงเทพ ซิตี้สมาร์ท เผยตลาดคอนโดมิเนียมมือสองช่วงครึ่งปีแรกปี 2558 เติบโตได้ดี สะท้อนกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีอย่างต่อเนื่อง มีการปรับขึ้นของราคาขายเฉลี่ยมากถึงร้อยละ 30 แต่ยังคงต่ำกว่าราคาซื้อขายคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ที่ปรับขึ้นร้อยละ 40 โดยคอนโดมิเนียมที่มีอายุ 6-10 ปี มีอัตราการปรับตัวของราคาเฉลี่ยดีที่สุด จากต้นทุนการก่อสร้างเดิมที่ไม่สูงมากเท่าปัจจุบัน พบคอนโดมิเนียมโซนพญาไท ราชเทวี อนุสาวรีย์ มีราคาขายเฉลี่ยสูงสุด คาดครึ่งปีหลังยังคงเติบโตได้ดีจากความต้องการคอนโดมิเนียมมือสองที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโซนในเมืองที่มีพื้นที่ในการพัฒนาที่ค่อนข้างจำกัด
      
       ภาพรวมสถานการณ์ตลาดคอนโดฯ มือสองครึ่งปีแรก 2558 ไปได้ดี
      
       ขยล ตันติชาติวัฒน์ ผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพ ซิตี้สมาร์ท จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ครอบคลุมทุกเรื่องการ ซื้อ ขาย เช่า และลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมมือสองในกรุงเทพฯ ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 ว่า “ยังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า สะท้อนจากราคาซื้อขายของตลาดคอนโดฯ มือสองทั้งตลาดในกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยมากถึงร้อยละ 30 จากราคาซื้อขายช่วงเปิดตัวโครงการนั้นๆ แต่ยังคงต่ำกว่าราคาคอนโดฯ เปิดใหม่ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างถึงร้อยละ 40 จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ตลาดคอนโดฯ มือสองยังได้รับความสนใจจากลูกค้าที่ต้องการซื้อเอาไว้อยู่อาศัยเอง หรือมองหาโอกาสในการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการคอนโดฯ ที่อยู่ในทำเลใจกลางเมืองใกล้สถานีรถไฟฟ้า ที่ปัจจุบันมีพื้นที่เหลืออยู่อย่างค่อนข้างจำกัดแล้ว”
BC ชี้ครึ่งปีแรกตลาดคอนโดฯ มือสองไปได้สวย โซนพญาไทครองแชมป์ราคาเฉลี่ยสูงสุด คาดครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง
        สำหรับคอนโดฯ มือสองที่มีการปรับเปลี่ยนของราคาขายเฉลี่ยเทียบกับราคาเปิดตัวโครงการสูงสุด ได้แก่ คอนโดฯ ที่มีอายุของตัวอาคารอยู่ระหว่าง 6-10 ปี เนื่องจากในช่วงเวลาเปิดตัวของโครงการยังไม่มีการขยับของต้นทุนการก่อสร้างสูงมากนัก โดยเฉพาะราคาที่ดิน แต่ตัวโครงการตั้งอยู่ในบริเวณที่ใกล้แนวรถไฟฟ้า เดินทางสะดวก ประกอบกับมีการดูแลรักษาอาคารที่ค่อนข้างจะชัดเจน จึงสามารถปรับราคาซื้อขายเพิ่มขึ้นตามโครงการใหม่ในบริเวณนั้นๆ ได้ไม่ยาก โดยมีราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 48 อันดับรองลงมา ได้แก่ คอนโดฯ มือสองที่มีอายุอาคารตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป แม้สภาพอาคารอาจจะขาดการบำรุงรักษาไปบ้าง แต่เนื่องจากอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ และหาทำเลที่จะมาแทนที่ได้ลำบาก โดยมีราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 38 อันดับถัดมา เป็นโครงการคอนโดฯ สร้างเสร็จพร้อมอยู่ อายุอาคารตั้งแต่ 1-5 ปี ซึ่งสภาพโดยรวมยังดูใหม่อยู่ โดยมีราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 33 สาเหตุที่ราคาขายปรับตัวขึ้นได้น้อยที่สุดนั้น เนื่องจากคอนโดฯ กลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นแล้วนั่นเอง แต่เพราะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมากจึงทำให้ลูกค้ายินดีที่จะจ่ายส่วนต่างของทำเล และอันดับสุดท้าย เป็นกลุ่มคอนโดฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ยังไม่พร้อมเข้าอยู่อาศัย แต่มีการเปลี่ยนมือโอนสิทธิ ขายใบจองสิทธิ ราคาเฉลี่ยจึงปรับเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากราคาเปิดขายได้รวมต้นทุนการก่อสร้างที่ปรับขึ้นใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 16
      
       พญาไท ราชเทวี และอนุสาวรีย์ ครองแชมป์ราคาเฉลี่ยปรับตัวขึ้นสูงสุด
BC ชี้ครึ่งปีแรกตลาดคอนโดฯ มือสองไปได้สวย โซนพญาไทครองแชมป์ราคาเฉลี่ยสูงสุด คาดครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง
        ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงทำเลในแต่ละพื้นที่ พบว่า ทำเลที่มีการเปลี่ยนแปลงราคาขายเฉลี่ยของคอนโดฯ มือสองในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 เทียบกับราคาช่วงเปิดตัวโครงการมากที่สุด ได้แก่ บริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS พญาไท ราชเทวี และอนุสาวรีย์ ที่เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางสู่จุดหลักๆ ที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร ซึ่งในปัจจุบันโซนดังกล่าวถือเป็นอีกโซนที่มีที่ดินที่สามารถนำมาพัฒนาโครงการได้จำกัดแล้ว โดยมีการปรับเปลี่ยนของราคาขายในตลาดปัจจุบันเทียบกับราคาช่วงเปิดตัวโครงการเฉลี่ยสูงสุด ร้อยละ 43 รองลงมา ได้แก่บริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS พร้อมพงษ์ และทองหล่อ ถือเป็นบริเวณที่มีความต้องการจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ โดยมีการปรับเปลี่ยนของราคาขายในตลาดปัจจุบันเทียบกับราคาช่วงเปิดตัวโครงการเฉลี่ยสูงสุด ร้อยละ 36 และบริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS เอกมัย และพระโขนง มีการปรับเปลี่ยนของราคาขายในตลาดปัจจุบันเทียบกับราคาช่วงเปิดตัวโครงการเฉลี่ยสูงสุด ร้อยละ 35 ตามลำดับ
      
       แนวโน้มสถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมมือสอง ช่วงครึ่งปีหลัง 2558 
BC ชี้ครึ่งปีแรกตลาดคอนโดฯ มือสองไปได้สวย โซนพญาไทครองแชมป์ราคาเฉลี่ยสูงสุด คาดครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง
        สำหรับแนวโน้มของตลาดคอนโดมิเนียมมือสอง “หากย้อนไปดูช่วงหลายปีที่ผ่านมา (ปี 2553-2556) พบว่า ตลาดคอนโดมิเนียมมีการเปิดตัวใหม่จำนวนมาก เฉลี่ยถึงปีละ 50,000-70,000 ยูนิต/ปี คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 60 ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ (อ้างอิงข้อมูลจาก AREA) แต่ทำเลที่ตั้งเริ่มกระจายออกจากกรุงเทพฯ ชั้นในไปอยู่ในบริเวณกรุงเทพฯ ชั้นกลาง ชั้นนอก รวมถึงปริมณฑล เนื่องจากบริเวณดังกล่าวยังมีพื้นที่ที่สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยได้ และต้นทุนของที่ดินยังปรับตัวไม่สูงมากนัก อีกทั้งการพัฒนาในด้านระบบสาธารณูปโภค และสาธารณูปการต่างๆ ในปัจจุบันได้กระจายตัวออกสู่บริเวณรอบนอกกรุงเทพฯ แล้วเช่นกัน ในส่วนบริเวณกรุงเทพฯ ชั้นใน กลับพบว่า สัดส่วนในการเปิดตัวคอนโดฯ มีจำนวนน้อยมากถ้าเทียบกับสัดส่วนการเปิดตัวคอนโดฯ ในแต่ละปีที่ผ่านมา (ปี 2553-2556) คิดเป็นอัตราเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 18 ของการเปิดตัวคอนโดฯ ทั้งหมดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล” นายขยล กล่าว
BC ชี้ครึ่งปีแรกตลาดคอนโดฯ มือสองไปได้สวย โซนพญาไทครองแชมป์ราคาเฉลี่ยสูงสุด คาดครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง
       
BC ชี้ครึ่งปีแรกตลาดคอนโดฯ มือสองไปได้สวย โซนพญาไทครองแชมป์ราคาเฉลี่ยสูงสุด คาดครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง
        “โดยสรุปทำให้คาดการณ์ได้ว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2558 ตลาดคอนโดมิเนียมมือสองยังคงจะเติบโตไปได้ดี แม้ภาวะเศรษฐกิจในประเทศจะอยู่ในช่วงการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่คงส่งผลกระทบต่อตลาดคอนโดฯ มือสองไม่มากนัก เนื่องจากตลาดคอนโดฯ มือสองยังคงมีความต้องการของผู้บริโภคอย่างชัดเจน โดยเฉพาะคอนโดฯ ที่อยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ อย่างกรุงเทพฯ ชั้นใน ที่มีพื้นที่ที่สามารถพัฒนาโครงการได้เหลืออยู่อย่างจำกัด ทำให้ราคาขายเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง” นายขยล กล่าวปิดท้าย
      
       (ข่าวประชาสัมพันธ์)