วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Open House “Star View” by Eastern Star

        บริษัท อีสเทอร์นสตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) เตรียมจัดงานปาร์ตี้สุดแสนโรแมนติก ภายใต้ชื่อ “Open House “Star View” by Eastern Star” ชมห้องตัวอย่างจริงบนโครงการสตาร์วิว คอนโดมิเนียมหรูวิวแม่น้ำเจ้าพระยา และสระว่ายน้ำสูงเสียดฟ้ายาวเกือบ 100 เมตร บนชั้น 44 พร้อมดื่มด่ำกับไวน์รสเลิศ ในบรรยากาศพระอาทิตย์ตกแบบพาโนรามา 360 องศา
       
       พิเศษสุด!!! กับข้อเสนอภายในงาน ห้องชุด 2 ห้องนอน 77 ตร.ม. จากราคา 8.3 ล้านบาท จองในงานเริ่มต้น 6.6 ล้านบาท ในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ณ โครงการสตาร์วิว ถนนพระราม 3 

Cr.http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000097063&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

เปิดงานอภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯ



        นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย นายบริสุทธิ์ กาสินพิลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด พร้อมด้วย 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ร่วมกันเปิดงานอภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี "NPA & Resale Home 2015" มหกรรมอสังหาริมทรัพย์และบ้านมือสอง "Home Loan & Consumer Credit 2015" มหกรรมสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อบุคคล และงาน "Home Buyers' Expo 2015" มหกรรมเลือกซื้อบ้าน-คอนโดฯ 

Cr.http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000096475&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

เปิดตัวเดอะ รีมาร์คเอเบิ้ล



        นายกษิดิศ มโนภินิเวศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเบิ้ล แอสเสท กรุ๊ป จำกัด เปิดตัวโครงการ เดอะ รีมาร์คเอเบิ้ล ศูนย์วิจัย 2 คอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตในสไตล์ทันสมัยคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ (Low rise) ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตในสไตล์ทันสมัย ราคาเริ่มต้นที่ 3.3 ล้านบาท ณ สำนักงานขายโครงการ พร้อมพบกับโปรโมชั่นพิเศษช่วงพรีเซล รับส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท ฟรีเฟอร์นิเจอร์ครบชุด, วอลเปเปอร์ เครื่องปรับอากาศทุกห้องนอน พร้อมเครื่องทำน้ำอุ่น 

Cr.http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000096280&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

"ITD"ดี๊ด๊าลุยขายพื้นที่นิคมทวายไร่ละ3ล้าน


 "อิตาเลียนไทยฯ" ดี๊ด๊าเดินหน้าโครงการทวายเต็มสูบ หลังเซ็นสัญญา 35 ตร.กม. มูลค่าลงทุน 5 หมื่นล้านบาท เคาะราคาขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมไร่ละ 3 ล้าน เผยเร่งเฟสแรก 700 ไร่ ให้เสร็จปีนี้

นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้ลงนามสัญญาสัมปทานโครงการทวายระยะแรก กับคณะกรรมการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อดำเนินการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ พื้นที่รวม 27 ตร.กม. ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมระยะแรก และถนน 2 เลน ระยะทาง 140 กม. เชื่อมจากทวายไปชายแดนไทย จะเป็นทางเก็บเงินค่าผ่านทาง ซึ่งบริษัทได้เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยรัฐบาลเมียนมากู้เงินจากรัฐบาลไทย 30 ปี นอกจากนี้มีท่าเรือขนาดเล็ก เขตที่อยู่อาศัย อ่างเก็บน้ำ และระบบประปา โรงไฟฟ้า ระบบโทรคมนาคมผ่านสายอีกทั้งยังได้สิทธิ์พัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเพิ่มอีก 8 ตร.กม. ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลชดเชยเป็นค่าก่อสร้างที่ลงทุนไป 6,000 ล้านบาท รวมเป็นพื้นที่ 35 ตร.กม. ใช้เงินลงทุนทั้งหมด 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 50,000 ล้านบาท รูปแบบอิตาเลียนไทยฯได้สัมปทาน 50 ปี ต่อได้อีก 25 ปี รวมเป็นอายุสัมปทานทั้งหมด 75 ปี

สำหรับพื้นที่รอการพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหรรม 16,000 ไร่ บริษัทร่วมกับพันธมิตรคือ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ คาดว่าใช้เวลาพัฒนา 8 ปี ตั้งราคาขาย 3 ล้านบาท/ไร่ ตามที่บริษัทที่ปรึกษาประเมินมูลค่าที่ดินไว้ทั้งหมด 50,000 ล้านบาท โดยมั่นใจว่าจะสามารถขายพื้นที่ในนิคมอุตฯได้หมด

ทั้งนี้จะมีการพัฒนาแบ่งเป็น 4 โซน แผนลงทุนในปี 2558 ตั้งเป้าพัฒนาโซนเอแล้วเสร็จ 700 ไร่ ล่าสุดในขณะนี้มีผู้ประกอบการจองพื้นที่หมดแล้ว ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการไทย สำหรับแผนลงทุนปี 2559 ตั้งเป้าพื้นที่พัฒนารวมเป็น 3,000ไร่ เตรียมเปิดให้ผู้ประกอบการเข้าจองพื้นที่ได้ทันที ตามแผนดำเนินการจะสามารถเข้าใช้งานในพื้นที่ได้ในช่วงปลายปี 2559 คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 10,000 ล้านบาท ส่วนโครงการ LNG Terminal ขณะนี้มีกลุ่มบริษัท ปตท. กับเชลล์ จองพื้นที่เรียบร้อยแล้ว

อสังหา-รับสร้างบ้านเฮรับกม.อำนวยสะดวก แนะรัฐทำKPIชี้ขั้นตอนขอใบอนุญาตก่อสร้างเฉื่อยสุด1-3เดือน

อสังหาฯ-รับสร้างบ้านขานรับท่วมท้น "กม.ปราบคอร์รัปชั่น" ชี้มีดีกว่าไม่มี แต่ยังห่วงไม่อยากฟ้องร้องเผชิญหน้าเจ้าหน้าที่ แนะรัฐบาลทำดัชนี KPI ประเมินผลงานข้าราชการ-ตั้งวันสต็อปเซอร์วิสประกบคู่ แก้ปัญหาพิจารณาล่าช้าแบบถาวร แฉใบอนุญาตก่อสร้างเฉื่อยสุด ตีความไม่ตรงกัน รอเฉลี่ย 1-3 เดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รัฐบาล คสช.ผลักดันกฎหมายใหม่หลายฉบับ หนึ่งในนั้นคือ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีผลบังคับใช้ 21 ก.ค. 2558 เป็นต้นไป สาระสำคัญของ กม. กำหนดขั้นตอนและเวลาในการติดต่อขออนุญาตกับส่วนราชการจะต้องรวดเร็ว มีเวลาแล้วเสร็จที่แน่นอนตายตัว เพื่อแก้ปัญหาการขออนุญาตมีความล่าช้าจนกลายเป็นช่องทางให้มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะแลกกับการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาให้รวดเร็วขึ้นโดยหนึ่งในผู้ร่างกม.ฉบับนี้เรียกขานว่าเป็น"กม.ปราบคอร์รัปชั่น"ปรากฏว่าภาคเอกชนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขานรับอย่างกว้างขวางโดยระบุว่าการพัฒนาโครงการจะต้องติดต่อส่วนราชการอย่างน้อย 16 แห่งด้วยกัน

เอกชนขอวันสต็อปเซอร์วิส

นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กม.ใหม่ช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง แม้ว่าอาจจะไม่สามารถอุดช่องโหว่ได้ทั้งหมด แต่เชื่อว่าความพอใจของผู้รับบริการจะเพิ่มขึ้น

สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมาต้องติดต่อหน่วยงานราชการนับ10แห่งเพื่อขออนุญาตต่างๆเช่นการก่อสร้างระบายน้ำทำเขื่อน สร้างสะพาน ฯลฯ สภาพปัญหาที่พบส่วนใหญ่มีความล่าช้าจากหลายสาเหตุ อาทิ เจ้าหน้าที่ปฏิเสธรับเรื่อง, การพิจารณาไม่ชัดเจน เนื่องจากเป็นการอนุญาตโดยอาศัยดุลพินิจของผู้บังคับบัญชา ฯลฯ

ซึ่งผลของความล่าช้าทำให้ผู้ประกอบการมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ส่งผลกระทบกลายเป็นต้นทุนที่ถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค โดยบวกค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเข้าไปในราคาสินค้า

ทั้งนี้ กฎหมายอำนวยความสะดวกฯเพียงฉบับเดียวอาจไม่เพียงพอ ข้อเสนอคือรัฐบาลควรผลักดันให้มีกฎหมายจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ หรือวันสต็อปเซอร์วิส สำหรับธุรกิจอสังหาฯ โดยเฉพาะ "กฎหมายจัดตั้งวันสต็อปฯให้ยื่นเอกสารที่นี่แห่งเดียว ถ้าเกิดขึ้นได้จะแก้ปัญหาความล่าช้าได้สมบูรณ์ เพราะธุรกิจอสังหาฯจะพัฒนาโครงการ ต้องติดต่อหน่วยราชการ 16 แห่ง" นายอธิปกล่าว

จี้ทำ KPI วัดผลงานข้าราชการ

แหล่งข่าวจากวงการพัฒนาที่ดินรายหนึ่งกล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาโครงการ 1 โครงการจะต้องติดต่อหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจมากกว่า 10 แห่ง อาทิ การประปานครหลวง การไฟฟ้านครหลวง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมชลประทาน ฯลฯ ที่ผ่านมายอมรับว่าบางแห่งทำได้รวดเร็วตรงเวลาที่กำหนด แต่เท่าที่พูดคุยสอบถามส่วนใหญ่ยังมีความล่าช้า ยุ่งยากและบางครั้งมีข้อร้องเรียนการเรียกรับเงินเกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ จึงมองว่า กม.ใหม่เป็นสิ่งที่ดีที่รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้บริการ ซึ่งก็คือประชาชนและภาคเอกชน

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติเอกชนยังมีข้อกังวล เนื่องจากกรณีที่ไม่ได้รับความสะดวกหรือล่าช้า ให้ทำการฟ้องร้องหรือร้องเรียน มองว่าอาจไม่คุ้มค่าเพราะต้องเสี่ยงกับการถูกกลั่นแกล้ง เพราะการพัฒนาที่ดินไม่ได้ทำเพียง 1-2 โครงการแล้วจบ แต่ในอนาคตยังมีโครงการใหม่ ๆ ที่ต้องขออนุญาต อาจไม่เป็นผลดีในระยะยาว ถ้าจะให้เอกชนเป็นคนฟ้องร้องกล่าวโทษข้าราชการโดยตรง

"เนื่องจากเป็น กม.ใหม่ ต้องรอดูผลการบังคับใช้ก่อนว่ามีความเข้มงวดในการลงโทษข้าราชการจริง ๆ หรือไม่ อยากเสนอแนะให้รัฐบาลจัดทำดัชนีชี้วัดผลงาน หรือ KPI ว่า ข้าราชการสามารถอำนวยความสะดวกในการติดต่อราชการได้มากน้อยแค่ไหน โดยหน่วยราชการเป็นผู้จัดทำ วิธีการนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเผชิญหน้าระหว่างบริษัทเอกชนกับข้าราชการได้ในระดับหนึ่ง" แหล่งข่าวกล่าว

ใบอนุญาตก่อสร้างรอ 1-3 เดือน

นายวิสิฐษ์ โมไนยพงศ์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ในส่วนของผู้ประกอบการรับสร้างบ้านมีความเข้าใจกฎหมายเทศบัญญัติเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาถึงแม้จะเป็นการขออนุญาตกฎหมายเดียวกัน เช่น ใบอนุญาตปลูกสร้างอาคาร หน่วยราชการที่อยู่คนละพื้นที่มีการตีความแตกต่างกัน ทำให้การพิจารณาอนุญาตช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปด้วย

นายปราโมทย์ ธีรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฟร์พัฒนา จำกัด กล่าวว่า เห็นด้วยกับ กม.ใหม่ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการควบคุมกติกาให้เป็นไปตามใบอนุญาตและระเบียบข้อบังคับของ กม.แต่ละฉบับ เช่น กม.ปลูกสร้างอาคารที่กำหนดระยะร่นตัวอาคารกับรั้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ก่อสร้างไม่ล้ำเข้าไปในเขตที่ดินข้างเคียง เป็นต้น

แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจรับสร้างบ้านรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ประสบการณ์ในการติดต่อราชการ หน่วยงานราชการบางแห่งมีความยุ่งยากในการพิจารณา โดยเฉพาะการขออนุญาตภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ซึ่งต้องมีลายเซ็นของวิศวกร สถาปนิก ทำให้การก่อสร้างบ้านบางหลังเคยรอนานถึง 3 เดือน เป็นต้น

สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้าน มีการติดต่อขอใบอนุญาต ดังนี้ การขออนุญาตติดตั้งน้ำประปา ไฟฟ้า, การยื่นขออนุญาตปลูกสร้างอาคารตามที่ตั้งที่ดินของลูกค้า ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯต้องติดต่อฝ่ายโยธา สำนักงานเขต ในต่างจังหวัด ระดับเทศบาลและอำเภอ ติดต่อฝ่ายกองช่าง ระดับตำบลติดต่อวิศวกรประจำองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โดยมีนายก อบต.เป็นผู้อนุมัติ ขั้นตอนนี้ต้องรอเฉลี่ย 1-3 เดือน, เมื่อก่อสร้างคืบหน้า 90% ต้องติดต่อขอบ้านเลขที่ ณ ฝ่ายทะเบียน เป็นต้น

ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

"ชัชชาติ" แนะจับตาตลาดคอนโดฯ สะท้อนความเชื่อมั่น


นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควลลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า มีปัจจัยบวกคืออัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ เป็นผลดีต่อผู้ซื้อ ราคาน้ำมันที่ถูก ต้นทุนต่ำลง แต่ก็ยังมีปัจจัยลบจากปัญหาหนี้ครัวเรือน

ช่วงครึ่งปีแรก ในกลุ่มบ้านแนวราบหดตัวลงเล็กน้อย สะท้อนถึงกำลังซื้อที่หดตัวลงในปัจจุบัน เพราะการซื้อบ้านจะใช้เวลาโอนประมาณ 2 เดือน สะท้อนถึงความต้องการในระยะสั้น ขณะที่กลุ่มคอนโดซึ่งปกติจะใช้เวลาประมาณ 3 ปีจึงจะชำระเงิน ยังขยายตัวได้ดี สะท้อนว่าในระยะยาวคนยังมีความเชื่อมั่นอยู่ ช่วงครึ่งปีหลังน่าจับตามองว่าตลาดคอนโดจะยังขยายตัวอยู่หรือไม่ เพื่อดูว่าระยะยาวคนยังมีความเชื่อมั่นมากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม คิวเฮ้าส์มีสัดส่วนรายได้จากคอนโดในพอร์ทเพียงร้อยละ 25 ขณะที่ส่วนใหญ่ร้อยละ 75 เป็นบ้านแนวราบ ซึ่งมองว่าขณะนี้ยังไม่เกิดโอเวอร์ซัพพลาย แต่จะขายได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับทำเลเป็นหลัก

สำหรับกลยุทธ์โครงการลงทุนใหม่ ๆ จะปรับให้โครงการมีขนาดเล็กลง เพื่อให้ขายหมดเร็วขึ้น นอกจากนี้ คิวเฮ้าส์มีความสนใจในโครงการพัฒนาที่ดินบางซื่อของการรถไฟฯ ซึ่งในอนาคตหากมีรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางไกล รถไฟฟ้า แอร์พอร์ตลิ้งเชื่อมดอนเมืองสุวรรณภูมิ จะผ่านบางซื่อทั้งหมด ทำให้บางซื่อเป็นศูนย์กลางของการคมนาคม




ที่มา : มติชนออนไลน์

ดึงทุนอสังหา-ค้าปลีกเช่า50ปีสถานีบางซื่อ รถไฟเปิดขุมทรัพย์กลางเมืองพัฒนา3โซน3หมื่นล.ปั้นฮับเอเชีย

การรถไฟฯเร่งตีปี๊บที่ดินรอบสถานีกลางบางซื่อ 218 ไร่ รับรถไฟฟ้าสายสีแดง ดึงเอกชนไทยอสังหาฯ-ค้าปลีก-โรงแรม ธุรกิจใต้ปีกเจ้าสัวเมืองไทย มาครบทั้ง"ทีซีซีแลนด์-ซีพี-บีทีเอสกรุ๊ป-สิงห์เอสเตท" พ่วงนักลงทุนต่างชาติ จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเลเซีย จุดพลุคอนโดฯ-โรงแรม-ศูนย์การค้า-ศูนย์แสดงสินค้า เปิดทางเช่ายาว 50 ปี ต่อสัญญาอีก 50 ปี คาดใช้เงินลงทุน 30,800 ล้าน แบบเสร็จสิ้นปีนี้ เริ่มหาเอกชนร่วมลงทุนปลายปี′59
แหล่งข่าวจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ได้เชิญบริษัทเอกชนไทยและต่างชาติกว่า 100 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์การค้า โรงแรม และศูนย์ประชุม เช่น บมจ.แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์, บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท,บมจ.ศุภาลัย, บมจ.แสนสิริ, บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง, บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์, บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, บมจ.สิงห์เอสเตท, กลุ่มซีพี, กลุ่มทีซีซีแลนด์, กลุ่มเดอะมอลล์, กลุ่มเซ็นทรัล, บมจ.ช.การช่าง, บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ เป็นต้น ส่วนบริษัทเอกชนจากต่างประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเลเซีย เป็นต้น



มาร่วมงานทดสอบความสนใจ หรือ Market Sounding วันที่ 5 ส.ค. 2558 เพื่อเสนอแนะรูปแบบการพัฒนาที่ดินย่านบางซื่อ จำนวน 218 ไร่ อยู่ใกล้กับสถานีกลางบางซื่อของรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงางซื่อ-รังสิตที่กำลังสร้าง กำหนดเปิดบริการปลายปี 2560 หรืออย่างช้าปี 2561-2562

"เปิดให้เอกชนเสนอแนะการพัฒนาที่เหมาะสม ส่วนการลงทุนยังไม่สรุป รอฟังข้อคิดเห็นเอกชนจะให้เช่า 30 ปี 40 ปี และ 50 ปี หรือร่วมลงทุนรูปแบบ PPP ตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนปี 2556 แต่มีแนวโน้มจะให้เอกชนเช่า 50 ปี ต่ออีก 50 ปี เพราะ 30 ปีคงจะไม่คุ้ม" แหล่งข่าวกล่าว

เปิด 3 โซน 3 หมื่น ล. 

สำหรับที่ดิน 218 ไร่ จะแบ่งพัฒนาเป็น 3 โซน มูลค่าลงทุนรวม 30,800 ล้านบาท ได้แก่ โซนเอ พื้นที่ 35 ไร่ อยู่ด้านหลังศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ทางบริษัทที่ปรึกษาเสนอให้พัฒนาเป็นอาคารสำนักงาน โรงแรม การขนส่งรูปแบบต่อเนื่อง เพราะอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบางซื่อ และอนาคตจะเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางระบบราง มูลค่าลงทุน 6,800 ล้านบาท โซนบี พื้นที่ 78 ไร่ อยู่ใกล้ตลาดนัดจตุจักร ทางที่ปรึกษาเสนอแนะให้พัฒนาเป็นอาเซียนมอลล์ มีศูนย์การค้า และศูนย์แสดงสินค้า เพราะจะเชื่อมกับตลาดจตุจักรและตลาด อ.ต.ก. มูลค่าการลงทุน12,000 ล้านบาท และโซนซี พื้นที่ 105 ไร่ ใกล้กับสถานีขนส่งหมอชิต และศูนย์รถเมล์ ขสมก.

เมื่อหักพื้นที่สถานีขนส่งหมอชิตที่ขอใช้พื้นที่ 16 ไร่ และพื้นที่ก่อสร้างทางด่วนขั้นที่ 2 จะเหลือพื้นที่พัฒนาได้จริง ประมาณ 85 ไร่ ขณะที่พื้นที่มีข้อจำกัดเพราะเป็นพื้นที่ก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง จะมีรางรถไฟอยู่ด้านล่าง และจากข้อจำกัดดังกล่าวจึงได้เชิญเอกชนมาหลายส่วน ทั้งคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน โรงแรม โรงพยาบาล ศูนย์กีฬา เพื่อหารือการพัฒนาให้เหมาะสมมูลค่าการลงทุน 12,000 ล้านบาท

สำหรับพื้นที่โซนซี อนาคตจะพัฒนาต่อเนื่องกับที่ดิน กม.11 พื้นที่ 359 ไร่ในย่านเดียวกัน ที่บริษัทบีทีเอสฯสนใจจะลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าโมโนเรล คอนโดมิเนียม รองรับพนักงาน ร.ฟ.ท.และผู้มีรายได้ปานกลางเช่ายาว 10-30 ปี จำนวน 10 อาคาร ประมาณ 1 หมื่นยูนิต พื้นที่ใช้สอย 42 และ 56 ตร.ม. และยังมีพื้นที่เชิงพาณิชย์ เช่น ศูนย์การค้า โรงพยาบาล

ศึกษาเสร็จปีนี้-พัฒนาปีหน้า 

ส่วนขั้นตอนหลังจากรับฟังข้อเสนอของเอกชน แหล่งข่าวกล่าวว่า จะสรุปเสร็จ ก.ย.นี้ จากนั้นเร่งศึกษารายละเอียดให้เสร็จสิ้นปี 2558 คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และออกประกาศร่างทีโออาร์เชิญเอกชนมาพัฒนาโครงการปลายปี 2559 การพิจารณาจะทำตามขั้นตอน พ.ร.บ.ร่วมทุนปี 2556 จะเริ่มพัฒนาปี 2560-2562 พร้อมกับรถไฟฟ้าสายสีแดงเปิดใช้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการพัฒนาที่ดิน 218 ไร่ เป็นนโยบายเร่งด่วนของนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) ร.ฟ.ท. ก่อนหน้านี้ นายออมสินกล่าวว่า ให้ ร.ฟ.ท.ศึกษารายละเอียดพัฒนาเชิงพาณิชย์รอบสถานีกลางบางซื่อ 218 ไร่ มาพัฒนาก่อนเพราะไม่ติดโยกย้ายชุมชนเหมือนแปลงอื่น จึงมีแนวโน้มที่จะพัฒนาได้รวดเร็วและเพิ่มรายได้ให้ ร.ฟ.ท. จากปัจจุบันมีรายได้พัฒนาที่ดินเฉลี่ย 1,500 ล้านบาทต่อปี

"ย่านบางซื่อและพหลโยธินมี 2,325 ไร่ รถไฟพัฒนาแล้ว 39 แปลง แต่เก็บรายได้ค่าเช่ายังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย จะนำพื้นที่รอบสถานีกลางบางซื่อมาพัฒนาต่อยอดสร้างรายได้เพิ่ม เหมือนโมเดลของญี่ปุ่น" นายออมสินกล่าวและว่า

คอนเซ็ปต์การพัฒนาจะเป็นศูนย์กลางพาณิชยกรรมครบวงจร มีศูนย์การค้า ร้านค้า สำนักงาน และโรงแรม ที่เป็นจุดศูนย์รวมนัดพบของคน เพราะที่นี่เป็นชุมทางของการเดินทางของคนทุกภาค ไม่ว่าจะไปเหนือ ใต้ หรืออีสาน สถานีกลางบางซื่อในอนาคตจะเป็นศูนย์กลางของการเดินทาง ทั้งรถไฟชานเมือง รถไฟทางไกล รถไฟฟ้า รถ บขส. รถเมล์ จะให้เอกชนลงทุนระยะยาว 30 ปี 40 ปี 50 ปี อยู่ที่ข้อเสนอของเอกชน รถไฟไม่ต้องลงทุนแค่นำที่ดินให้เอกชนลงทุน

ปั้นฮับระบบรางใหญ่สุดในเอเชีย

นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ผู้ว่าการการรถไฟฯ เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างจัดทำโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณสถานีกลางบางซื่อ เป็นศูนย์กลางการเดินรถไฟ เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินของ ร.ฟ.ท. จะนำแนวคิด TOD (Transit Oriented Development) การบูรณาการพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองสำหรับพื้นที่พาณิชยกรรมกับการคมนาคมขนส่งเข้าด้วยกัน มาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาโครงการ ปัจจุบันกำลังศึกษาศักยภาพพื้นที่ วิเคราะห์ความเหมาะสมการตลาด และการออกแบบพัฒนาพื้นที่จะเสร็จ ก.ย.นี้

"พื้นที่รอบสถานีกลางบางซื่อมีศักยภาพสูงพัฒนาเชิงพาณิชย์ เมื่อรถไฟสีแดงเสร็จจะเป็นศูนย์กลางการเดินทางและคมนาคมขนส่งของกรุงเทพฯและภูมิภาคต่าง ๆ มีทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน บีทีเอส รถไฟทางไกล รถไฟความเร็วสูง รวมถึงรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์เชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา หากโครงการสำเร็จจะเป็นการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ครั้งแรกของ ร.ฟ.ท. ที่จะเพิ่มมูลค่าของที่ดินเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ให้ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"


ติดตามข่าวสารผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

ศุภาลัย เปิด 2 โครงการ “ศุภาลัย ลากูน ภูเก็ต” และ “ศุภาลัย ลากูน คอนโด”

ศุภาลัย เปิด 2 โครงการ “ศุภาลัย ลากูน ภูเก็ต” และ “ศุภาลัย ลากูน คอนโด”
อดิศักดิ์ วารินทร์ศิริกุล
        ศุภาลัย จัดงาน Supalai Lagoon Grand Opening ฉลองเปิดตัว 2 โครงการ “ศุภาลัย ลากูน ภูเก็ต” และ “ศุภาลัย ลากูน คอนโด” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “7 Wonders of Supalai Lagoon” พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษให้แก่ลูกค้าที่จองบ้าน หรือห้องพักอาศัย
      
       นายอดิศักดิ์ วารินทร์ศิริกุล ผู้อำนวยการสายงานโครงการภูมิภาค 3 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจการลงทุน และการท่องเที่ยว รวมถึงประชาชนทั้งคนไทย และชาวต่างประเทศในพื้นที่มีกำลังซื้อสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
      
       ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้มีการพัฒนาโครงการในจังหวัดภูเก็ต จำนวน 12 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 7 โครงการ ได้แก่ ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท ภูเก็ต (บ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม), ศุภาลัย ฮิลล์ ภูเก็ต, ศุภาลัย ซิตี้ ฮิลล์ ภูเก็ต, ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ ภูเก็ต, ศุภาลัย เอสเซ้นส์ ภูเก็ต, ศุภาลัย วิลล์ ภูเก็ต และศุภาลัย ลากูน ภูเก็ต รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ ได้แก่ ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท ภูเก็ต (คอนโด), ศุภาลัย ปาร์ค @ ดาวน์ทาวน์, ศุภาลัย ปาร์ค @ ภูเก็ต ซิตี้, ศุภาลัย วิสต้า ภูเก็ต และศุภาลัย ลากูน คอนโด นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนธุรกิจโรงแรมอีก 1 แห่ง คือ ศุภาลัย รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต บนทำเลถนนอ่าวปอ-หลังแดง
      
       จากความสำเร็จที่บริษัทฯ ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ามาโดยตลอด จึงได้จัดงานปาร์ตี้ฉลองเปิดตัวโครงการ Supalai Lagoon Grand Opening ภายใต้คอนเซ็ปต์ “7 Wonders of Supalai Lagoon” เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2558 ที่ผ่านมา โดยเปิดตัวโครงการ“ศุภาลัย ลากูน ภูเก็ต” และ “ศุภาลัย ลากูน คอนโด” สัมผัสกลิ่นอายทะเล ด้วยการออกแบบเน้นการประหยัดพลังงาน ทำเลที่สะดวกต่อการคมนาคม พร้อมความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ โดยมีการรับรองคุณภาพ ISO 9001:2008 ตลอดจนโปรโมชันพิเศษ
      
       ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมโครงการ “ศุภาลัย ลากูน ภูเก็ต” ซึ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร บนพื้นที่ประมาณ 80 ไร่ จำนวน 482 แปลง มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยมีแบบบ้านให้เลือกหลากหลาย ทั้งบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 50 ตร.ว.ขึ้นไป บ้านรุ่นใหม่ ขนาด 36 ตร.ว.ขึ้นไป และทาวน์โฮม ขนาด 20 ตร.ว.ขึ้นไป ราคาเริ่มต้น 2 ล้านกว่าบาท เน้นการออกแบบทันสมัยสไตล์โมเดิร์น และอนุรักษ์พลังงาน โดยก่อสร้างด้วยอิฐมวลเบา ซึ่งมีความแข็งแรง และไม่อมความร้อน ใช้กระจกเขียวตัดแสงเพื่อช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน สุขภัณฑ์รุ่นประหยัดน้ำ และหลอดประหยัดพลังงาน พร้อมทั้งมีสวนสาธารณะริมทะเลและกลางโครงการขนาดใหญ่ ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง โดยได้เปิดตัวโครงการไปแล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถกวาดยอดขายได้สูงถึง 330 ล้านบาท ในเวลา 1 เดือนเศษ
      
       สำหรับโครงการ “ศุภาลัย ลากูน คอนโด” เป็นคอนโดฯ บนพื้นที่โครงการทั้งหมดประมาณ 4 ไร่ มูลค่าประมาณ 570 ล้านบาท การออกแบบตัวอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร เป็นห้องชุดพักอาศัย 406 ยูนิต มีให้เลือกตั้งแต่แบบ Studio และแบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 29-50 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1 ล้านกว่าบาท เน้นการออกแบบสไตล์รีสอร์ตเพื่อเปิดรับลมทะเลพร้อมสัมผัสวิวทะเลและภูเขา การจัดวางอาคารให้เยื้องกันเพื่อให้ความรู้สึกที่ไม่แออัด และเว้นช่องว่างอาคารให้สามารถรับลมธรรมชาติเพื่อระบายอากาศที่ดี ตลอดจนเลือกใช้วัสดุประหยัดพลังงาน และเพื่อตอกย้ำยอดขายต่อเนื่อง
      
       ทั้ง 2 โครงการโดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพใจกลางเมืองภูเก็ต ริมถนนเทพกระษัตรี เชื่อมโยงทุกเครือข่ายคมนาคม แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น เซ็นทรัลเฟสติวัล บิ๊กซี โลตัส โรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต และมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เป็นต้น ผู้สนใจสามารถแวะเยี่ยมชมโครงการ และสอบถามข้อมูลโทร.0-7637-7788

Cr.http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000090064&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

คอลลิเออร์สคาดคอนโดฯ พัทยาซึมยาว ยูนิตเหลือขายกว่า 1.8 หมื่นยูนิต

คอลลิเออร์สคาดคอนโดฯ พัทยาซึมยาว ยูนิตเหลือขายกว่า 1.8 หมื่นยูนิต
สุรเชษฐ กองชีพ
        คอลลิเออร์สฯ คาดการณ์ตลาดคอนโดฯ เมืองพัทยาชะลอตัวยาว หลังเจอปัจจัยลบอื้อ นักท่องเที่ยวลด ลูกค้ารัสเซียหายจากค่าเงินรูเบิลตกต่ำ ครึ่งปีแรกพบคอนโดฯ เปิดขายใหม่ 5,280 ยูนิต กว่า 93% อยู่นาจอมเทียน ซัปพลายเหลือขายในตลาดกว่า 1.8 หมื่นยูนิต ราคา 5 หมื่น-1 แสนบาท/ตร.ม. เหลือขายมากที่สุด
      
       นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ในช่วงครึ่งแรกปี 2558 มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ 10 โครงการ จำนวน 5,280 ยูนิต ลดลงอย่างเห็นได้ชัดจากช่วงครึ่งหลังปี 2557 เนื่องจากปัจจัยลบหลายอย่างทั้งภายใน และนอกประเทศไทย จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาในพัทยามีจำนวนลดลง โดยเฉพาะชาวรัสเซียซึ่งเป็นกลุ่มผู้ซื้อหลักในตลาดคอนโดมิเนียมพัทยา เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมชะลอตัวลง แม้ว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จำนวนของนักท่องเที่ยวชาวจีนจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ชาวจีนยังไม่ใช่ผู้ซื้อคอนโดมิเนียมในพัทยา
      
       ทั้งนี้ คอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ 5,280 ยูนิต ประมาณ 93% หรือ 4,930 ยูนิต ของคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในครึ่งแรกปี 2558 อยู่ในทำเลนาจอมเทียน เนื่องจากมีคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ที่มีจำนวนยูนิตมากกว่า 1,300 ยูนิต เปิดขายในทำเลนี้
      
       แม้ว่าจะมีผู้ประกอบการชาวจีนบางรายมีแผนจะเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมในพัทยาภายในปี 2558 โดยเฉพาะในทำเลจอมเทียน และนาจอมเทียน แต่ตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยายังคงไม่ฟื้นตัว และยังได้รับผลกระทบจากปัญหาเรื่องโอเวอร์ซัปพลาย
      
       สำหรับอัตราการขายแม้ว่าจะกระเตื้องขึ้นบ้าง แต่ว่ายังมียูนิตเหลือขายอยู่ในตลาดอีกค่อนข้างมาก โดยอัตราการขายเฉลี่ยของตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยาอยู่ที่ประมาณ 75% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2557 ในช่วงระหว่างปี 2554-ครึ่งแรกปี 2558 มีคอนโดมิเนียมมากกว่า 68,400 ยูนิตเปิดขาย และส่วนใหญ่มีคนซื้อ หรือจองไปแล้ว แต่ว่ายังมีอีกมากกว่า 18,000 ยูนิต ที่ยังคงขายไม่ได้ และเหลือขายอยู่ในตลาด และถ้ารวมกับยูนิตของนักเก็งกำไรนักลงทุนทั้งหลายก็อาจจะมากกว่า 22,000 ยูนิต
      
       นายสุรเชษฐ กล่าวต่อว่า ทำเลจอมเทียนเป็นทำเลยอดนิยมในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่ถนนจอมเทียนสาย 2 เปิดให้บริการ เนื่องจากมีที่ดินว่างเปล่าอยู่เป็นจำนวนมาก และราคาก็ยังคงต่ำกว่าทำเลอื่นๆ ผู้ประกอบการในพัทยาให้ความสนใจในกลุ่มผู้ซื้อชาวไทย และชาวต่างชาติบางกลุ่มมากขึ้น เช่น จีน อินเดีย และชาวเอเชียอื่นๆ เพื่อทดแทนกำลังซื้อชาวรัสเซียที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากค่าเงินรูเบิลที่อ่อนค่าไปใช่วงปี 2557-ครึ่งแรกปี 2558
      
       ทำเลจอมเทียนมีคอนโดมิเนียมเหลือขายมากกว่า 5,480 ยูนิต มากที่สุดในพัทยา ในขณะที่นาจอมเทียน มาเป็นลำดับที่ 2 ที่ประมาณ 4,680 ยูนิต หลังจากที่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายหลายโครงการในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
      
       คอนโดมิเนียมเหลือขายในตลาดประมาณ 8,745 ยูนิต อยู่ในระดับ 50,001-100,000 บาทต่อตารางเมตร และอีกประมาณ 6,040 ยูนิต ขายในระดับราคาต่ำกว่า 50,000 บาทต่อตารางเมตร มีแค่ประมาณ 1,540 ยูนิตเท่านั้นที่ขายในระดับราคามากกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตร
      
       “เรื่องของการโอนกรรมสิทธิ์เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการไทย และต่างชาติทั้งรายเล็ก รายใหญ่ต่างให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะว่ามีคอนโดมิเนียมประมาณ 10,000 ยูนิต มีกำหนดแล้วเสร็จในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2558 และการที่มีนักลงทุนจำนวนมากเข้ามาลงทุนในตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยา รวมทั้งการที่ชาวรัสเซียประสบต่อปัญหาเรื่องค่าเงินรูเบิลที่อ่อนค่าลง ทำให้หลายฝ่ายกังวลเรื่องของการทิ้งดาวน์ และยื้อการโอนกรรมสิทธิ์ออกไปให้นานที่สุด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโดยตรง ตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยาน่าจะยังคงไม่ฟื้นตัวภายในปีนี้” นายสุรเชษฐ กล่าว

Cr.http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000090061&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พลัสฯ เผยคอนโดฯ ใหม่ครึ่งปีแรกราคาเฉลี่ยพุ่ง 35%

ภูมิภักดิ์ จุลมณี
        เผยภาพรวมตลาดคอนโดกรุงเทพฯ ครึ่งปีแรกเปิดตัวลดลง 21% สวนทางราคาเฉลี่ยพุ่งกว่า 35% เหตุโครงการเกิดใหม่ส่วนมากจับตลาดกลาง-บนมากขึ้น แจงอัตราระบายออกซัปพลายใหม่ 61% ใกล้เคียงกับครึ่งหลังปี 57 ซึ่งมีอัตราระบายออก 60% ชี้โซนฮอตขายดีสุด พระโขนง-อ่อนนุช, รัชดา-ลาดพร้าว และจตุจักร-บางซื่อ อัตราการขยายออกสูงถึง 87% มองตลาดครึ่งปีหลังคอนโดฯ ไม่หวือหวา ส่วนคอนโดฯ หรูยังคึกคักตามกำลังซื้อลูกค้าระดับบนที่ยังดีต่อเนื่อง
       
       นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งแรกปี 58 ในกรุงเทพฯ มีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ 44 โครงการ จำนวน 20,052 ยูนิต ลดลง 21% จากครึ่งหลังของปี 57 ซึ่งมีการเปิดตัว 56 โครงการ จำนวน 22,491 ยูนิต โดยดีมานด์ในครึ่งแรกของปีอยู่ที่ 12,165 ยูนิต หรือมีอัตราการระบายออก 61% ส่วนราคาเฉลี่ยของโครงการเปิดใหม่มีการปรับเพิ่มขึ้น 35% จาก 97,000 บาท/ตารางเมตร มาเป็น 131,000 บาท/ตารางเมตร โดยช่วงราคาขายที่ 100,000-200,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) มีอัตราการขายดีที่สุดถึง 84% รองลงมา คือ มากกว่า 200,000 บาทต่อ ตร.ม. มีอัตราการขายที่ 60% ส่วนระดับราคาต่ำกว่า 100,000 บาทต่อ ตร.ม. มีอัตราการขายน้อยที่สุดที่ 49%
       
       หากพิจารณาแบ่งตามพื้นที่ในแต่ละโซน จะพบโซนกรุงเทพฯ ชั้นกลาง เช่น พระโขนง-อ่อนนุช (ตอนต้น), รัชดา-ลาดพร้าว และจตุจักร-บางซื่อ ขายดีที่สุด ด้วยอัตราการขายสูงถึง 87% เนื่องจากเดินทางสะดวกมีรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดินพาดผ่าน ที่สำคัญราคาไม่สูงมากเหมือนโซนกรุงเทพฯ ชั้นใน มีตลาดเช่ารองรับอัตราผลตอบแทนจากการเช่าสูงกว่าโซนกรุงเทพฯ ชั้นใน ฐานลูกค้าไม่จำกัดเพราะมีทั้งลูกค้าที่ใช้เงินสด และเงินกู้ซื้อ เป็นผู้มีรายได้ และมีศักยภาพในการชำระหนี้ทำให้สถาบันทางการเงินยังคงสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อให้อย่างต่อเนื่อง รองลงมา คือ โซนกรุงเทพฯ ชั้นใน ได้แก่ พระราม 4-สีลม-สาทร ราชเทวี-พญาไท อโศก-เพชรบุรี และสุขุมวิทตอนต้น มีอัตราการขายที่ 60% ส่วนโซนกรุงเทพฯ ชั้นนอก เช่น บางนา ธนบุรี และ ดอนเมือง-มีนบุรี มีอัตราการขายที่ 46%
       
       อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโครงการที่อยู่พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในแม้ไม่ได้มีอัตราการขายที่ดีที่สุด แต่มีหลายโครงการที่ประสบความสำเร็จขายหมดได้ภายในไม่กี่วันหลังเปิดขาย เช่น เดอะโมนูเมนต์ สนามเป้า ของแสนสิริ นิมิต หลังสวน ของเพซ ดีเวลลอปเมนท์ คลาส สยาม และแอชตัน เรสซิเดนซ์ 41 ของอนันดา ดีเวลลอปเมนท์ เป็นต้น ซึ่งประเมินได้ว่าสถานการณ์ตลาดคอนโดฯ หรูยังเติบโตได้ดี และเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่
       
       ส่วนสาเหตุที่ทำให้อัตราการขายโดยรวมไม่สูงมากน่าจะมีสาเหตุมาจากบางโครงการที่เปิดขายมาแล้วสินค้าไม่ตรงต่อความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นขนาดของห้องชุด การเลือกใช้วัสดุ หรือการออกแบบ หรือชื่อเสียงของผู้ประกอบการ เป็นต้น ทั้งนี้ สังเกตได้ว่าปัจจุบันผู้บริโภคมีความละเอียดมากขึ้นในการเลือกซื้อคอนโดมิเนียม ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องทำการบ้านให้เป็นอย่างดีก่อนจะนำเสนอโครงการออกขาย หากทำแล้วตอบโจทย์ก็จะขายหมดโดยเร็วเหมือนอย่าง 4-5 โครงการข้างต้น
       
       นายภูมิภักดิ์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มของอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมครึ่งปีหลัง คาดว่า ยังคงไปได้แต่ไม่หวือหวา เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่มีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม โครงการระดับราคาสูงน่าจะขายดีที่สุด เนื่องจากลูกค้ายังมีกำลังซื้อ และความต้องการเพิ่มต่อเนื่อง ตลอดจนเป็นการลงทุนระยะยาว และซื้อไว้เพื่อเป็นมรดก รวมถึงโครงการที่อยู่ในโซนนี้เริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีความต้องการของการอยู่อาศัยจริง และการซื้อเก็บไว้ อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคือ การออกแบบโครงการต้องสอดคล้องต่อความต้องการในแต่ละโซน เพราะโซนที่เป็นที่นิยมของการเช่า และโครงการที่เป็นที่นิยมของเจ้าของอยู่อาศัยเองจะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน ถ้าผู้ประกอบการทำโครงการออกมาตอบโจทย์ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะประสบความสำเร็จ 

Cr.http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000088368&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

เอเวอร์แลนด์ฯ ผุด 3 โครงการ มูลค่า 7 พันล.

        เอเวอร์แลนด์ฯ เปิดแผนรุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปีนี้เตรียมผุด 3 โครงการใหม่ ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม มูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท จำนวนกว่า 2,000 ยูนิต เตรียมทยอยรับรู้รายได้ช่วง Q4/2558 เตรียมเปิด Pre Sale บ้านเดี่ยวโครงการใหม่ “My Home Silver Lake” มูลค่าโครงการ 750 ล้านบาท รวม 145 ยูนิต และเล็งเปิดอีก 2-3 โครงการในปีนี้
       
       นายสวิจักร์ โลจายะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ EVER เปิดเผยว่า ในปี 2558 นี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการแนวราบ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว สุวินทวงศ์ My Home Silver Lake บ้านเดี่ยวขนาด 100 ตารางวา บรรยากาศทะเลสาบ ซึ่งเฟสแรกมีจำนวน 145 หลังคาเรือน มูลค่าโครงการ 750 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นที่หลังละ 4.8 ล้านบาท โดยเตรียมเปิดขาย Pre Saleในวันที่ 8-9 สิงหาคมนี้ ทั้งนี้ มีโปรโมชันในวันงานจองซื้อราคาพิเศษ
       
       นอกจากนี้ EVER มีโครงการบ้านเดี่ยว บนถนนหทัยราษฎร์ มูลค่า 300-400 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวปลายปี 2558 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการถมที่ดิน ส่วนอีก 1 โครงการ เป็นโครงการคอนโดมิเนียม ที่สนามบินน้ำ สูง 54 ชั้น ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงประมาณ 200 เมตร จำนวน 2,000 ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างโครงการ 2-3 ปี โดยจะเปิดขายปลายปีนี้
       
       “EVER เตรียมความพร้อมมาระยะเวลาหนึ่งในการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม ซึ่งแผนปี 58 นี้ มีโปรเจกต์ใหญ่ถึง 3 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า มูลค่าโครงการรวมถึง 7 พันล้านบาท โดยเงินลงทุนมาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ และทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ Q4/58 ส่งผลให้ปีนี้รายได้จะเติบโตร้อยละ 20 จากปีก่อน และคาดว่าปีนี้ EVER จะพลิกกลับมามีกำไร” นายสวิจักร์ กล่าว
       
       โครงการ “My Home Silver Lake” อยู่บนถนนสุวินทวงศ์ 78 เดินทางสะดวกเชื่อมต่อถนนรามคำแหง ถนนร่มเกล้า ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ แวดล้อมด้วยห้างสรรพสินค้ามากมาย และโรงพยาบาลชั้นนำ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 4 แบบ ได้แก่ silver, silver plus, silver grand และ silver prestige หลากหลายฟังก์ชัน เป็นบ้านเดี่ยวบนที่ดินขนาด 100 ตร.วา แบบบ้าน SILVER PLUS ขนาดพื้นที่ใช้สอย 146 ตร.ม. แบบบ้าน SILVER ขนาดพื้นที่ใช้สอย 126 ตร.ม. ในบรรยากาศริมทะเลสาบขนาดใหญ่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น คอมมูนิตีมอลล์ และคลับเฮาส์
       
       นายสวิจักร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอน คือ โครงการคอนโดมิเนียม My Resort หัวหิน มูลค่า 2,600 ล้านบาท เฟส 1 ขายได้ประมาณ 75% ส่วนเฟส 2 ขายได้แล้วประมาณ 60% โครงการ My Resort หัวหิน มีจุดเด่นตรงที่ติดกับทะเล และมีสวนน้ำในโครงการ ซึ่งได้การตอบรับจากลูกค้าดีมาก   โครงการติดริมแม่น้ำ My Resort @ River คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา จรัญสนิทวงศ์ 72 สูง 37 ชั้น ราคายูนิตล่ะ 18 ล้านบาท ขายได้แล้ว 60% และโครงการคอนโดมิเนียมเพชรบุรี-อโศก มูลค่า 1,600 ล้านบาท ขายได้แล้ว 90%

Cr.http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000088323&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

เสนาฯ ผุด “เดอะนิชไพรด์ฯ” เจาะตลาดบนมียอดจองแล้ว 20%

        เสนาฯ เปิดตัวคอนโดหรู “เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี” มูลค่า 2,200 ล้านบาท ชูจุดขาย “Unblock View” พร้อมติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปช่วยส่วนกลางประหยัดไฟ มั่นใจตอบโจทย์คนเมือง ฟุ้งมียอดจองแล้ว 20% ด้านไนท์แฟรงค์ฯ ราคาขายคอนโดฯ ย่านเพชรบุรี-รัชดา แตะ 111,000 บาทต่อ ตร.ม. เพิ่มจากปี 57 ถึง 28% ส่วนสุขุมวิทถึงพระโขนง ราคาเฉลี่ย 226,000 บาท ปรับตัวจากปีก่อน 50% 
       
       รศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) กล่าวว่า เสนาฯ เตรียมเปิดพรีเซลโครงการ “เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี” ในวันที่ 8-9 ส.ค.นี้ โดยลูกค้าที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ และจองซื้อห้องชุดในงานรับส่วนลดทันที 100,000 บาท สำหรับการเปิดพรีเซลครั้งนี้บริษัทได้นำห้องชุดในสัดส่วน 60% ของห้องชุดทั้งหมด 667 ยูนิตมาเปิดขาย
       
       ทั้งนี้ โครงการ เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี เป็นโครงการแรก และครั้งแรกทีเสนาฯ เข้ามาทำตลาดคอนโดมิเนียมในตลาดบนระดับนี้ในย่านใจกลางเมือง โดยโครงการดังกล่าวมีพื้นที่โครงการ 3 ไร่เศษ พัฒนาเป็นอาคารสูง 33 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 667 ยูนิต ขนาดห้องเริ่มต้นที่ 1 ห้องนอน 30 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,230 ล้านบาท ล่าสุด จากการเปิดขายแก่ลูกค้าวีไอพี และลูกค้าเก่าสามารถสร้างยอดจองซื้อแล้ว 20%
       
       “จุดขายของ เดอะนิช ไพรด์ฯ คือ การให้พื้นที่พักผ่อนมากถึง 1 ไร่ พร้อมสวนสวยขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ผู้อยู่อาศัยยังทุกห้องยังสามารถชมวิวได้อย่างเสรีไม่ถูกปิดกั้น ด้วย Unblock View ซึ่งทุกห้องสามารถเปิดรับวิวธรรมชาติ และวิวเมือง นอกจากนี้ เสนาฯ ยังได้ทำการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าส่งให้แก่นิติบุคคนอาคารชุดใช้ในการบริการพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อช่วยส่วนกลางประหยัดไฟด้วย”
       
       นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับระดับราคาคอนโดบริเวณถนนเพชรบุรี-รัชดา และย่านสุขุมวิท ไปจนถึงพระโขนง ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 58 ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนอุปทาน และราคา โดยคอนโดย่านสุขุมวิทถึงพระโขนง มีราคาเฉลี่ยสูงถึง 226,000 บาทต่อตารางเมตร โดยในปี 58 นี้ ราคาปรับเพิ่มสูงกว่าปี 57 ถึง 50% ขณะที่คอนโดบริเวณถนนเพชรบุรี-รัชดา มีราคาเฉลี่ยสูงถึง 111,000 บาทต่อตารางเมตร ในปี 58 ราคาปรับเพิ่มสูงกว่าปี 57 ถึง 28% สำหรับยอดขายโครงการเปิดใหม่ยังมีอัตราการขายที่ดีไม่ปรับตัวลดลง
       
       “ปกติแล้วอัตราการระบายออกของซัปพลายในทำเลนี้จะอยู่ที่ 60% ต่อปี โดยในครึ่งปีแรกนี้สามารถระบายออกไปแล้ว 30-36% เหลืออีกเพียง 30% ก็จะมีอัตราการระบายออกเป็นปกติ ซึ่งคาดว่าในช่วง 6 เดือนนี้ จะสามารถระบายออกไปตามเป้า”
       
       สำหรับตลาดในพื้นที่เพชรบุรี-รัชดา มีจำนวนหน่วยคอนโดที่เปิดขายโครงการตั้งแต่ปี 51 ถึงครึ่งแรกของปี 58 รวม 46,363 ยูนิต โดยครึ่งแรกของปีนี้มีจำนวนคอนโดเปิดใหม่ประมาณ 4,593 ยูนิต ระดับราคาขายปีนี้ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ราว 110,454 บาท ต่อ ตารางเมตร (ตร.ม.) ปรับขึ้นจากปีที่แล้ว 28% จากปี57 ที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 86,486 บาทต่อ ตร.ม.

Cr.http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000087980&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

“ไซมิส” เผยแผนครึ่งปีหลังลุยผุด 3 คอนโดหรู มูลค่า 7,950 ล้าน

       - “ไซมิส แอสเสท” เผยครึ่งปีหลังเปิดคอนโดใหม่ 2 โครงการ และอีก 1 โครงการต้นปี 59 มูลค่ากว่า 7,950 ล้านบาท หลังผลตอบรับลูกค้าดี ล่าสุด เตรียมเปิดขาย “Siamese Exclusive” คอนโดหรูสุขุมวิท 31 มูลค่า2,300 ล้านบาท วางเป้าปี 58 ยอดขาย 5,800 ล้านบาท รายได้รับรู้ 2,000 ล้านบาท แจงยอดขาย 6 เดือนแรก 2,000 ล้านบาท 
       
       นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานกรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (SA) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีมีแผนจะเปิดโครงการใหม่เพิ่ม 2 โครงการ โดยในเดือน ต.ค.จะเปิดตัวโครงการไซมิส สาทร เจริญราษฎร์ โครงการอาคารชุดสูง 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 800 ยูนิต และออฟฟิศคอนโด 1 อาคาร จำนวน 100 ยูนิต บนพื้นที่โครงการกว่า 7 ไร่เศษ มูลค่า 3,000 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 2 ล้านบาท โดยขณะนี้ทางลูกค้าต่างชาติจองซื้อแล้ว 2 อาคาร
       
       ส่วนโครงการไซมิส ควีนส์ จะเปิดตัวเป็นโครงการที่ 2 สำหรับโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในซอยไผ่สิงโต คลองเตย คอนโดสูง 35 ชั้น จำนวน 300 ยูนิต บนพื้นที่ 2 ไร่ มูลค่า 2,500 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวประมาณปลายปีนี้ หรือต้นปี 59 โดยเปิดขายในราคาเริ่มต้น 130,000 บาท/ตร.ม. นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเปิดโครงการในต้นปี 59 อีกโครงการ คือ ไซมิส สุขุทวิท ปากซอยอ่อนนุช พื้นที่ประมาณ 700 ตารางวา ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะพัฒนาเป็นคอนโดสูง 35-40 ชั้น จำนวน 200 ยูนิต มูลค่า2,450 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้นที่ 1 แสนต้นๆ/ตร.ม.
       
       “ในปีนี้บริษัทคาดว่ามีรายได้รับรู้ประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมียอดรับรู่แล้ว 1,000 ล้านบาท ส่วนยอดพรีเซลในครึ่งปีแรกปีนี้อยู่ที่ 2,000 บาท จากเป้าทั้งปีที่ 5,800 ล้านบาท ส่วนในปี 59 บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 5,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ในปีนี้บริษัทได้ใช้งบในการซื้อที่ดินประมาณ 900-1,000 ล้านบาท สำหรับพัฒนาโครงการไซมิส สาทร เจริญราษฎร์ และไซมิส สุขุมวิท”
       
       ล่าสุด บริษัทได้เตรียมจัดงาน Exclusive Day เพื่อเปิดขายโครงการ Siamese Exclusive คอนโดสูง 21ชั้น มูลค่า 2,300 ล้านบาท ในวันที่ 8 ส.ค.นี้ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวถือเป็นโครงการ Flagship ในปีนี้ โดยจุดเด่นของโครงการ Siamese Exclusive คือ ที่ตั้งโครงการอยู่ใจกลางสุขุมวิท 31 การคมนาคมสะดวกทุกเส้นทางเข้า-ออก ทั้งสุขุมวิท อโศก เพชรบุรี ตัดใหม่ และทองหล่อ รวมถึงสถานีรถไฟฟ้า BTS และ MRT ราคาเริ่มต้น 8.2-39 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย125,000 บาท/ตร.ม.
       
       “Siamese Exclusive เน้นจับกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ทำให้ไม่กังวลยอดขายเพราะลูกค้าExclusive Member จองสิทธิเข้ามาแล้วกว่า 190 ราย จากห้องชุดทั้งหมด 192 ยูนิต และยังไม่นับลูกค้าที่ลงทะเบียนแสดงความสนใจโครงการกว่า 320 ราย โดยกว่า 40% ที่จองสิทธิเป็นชาวต่างชาติ เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ฯลฯ ทั้งนี้ ลูกค้า Exclusive Member จองสิทธิ 50,000 บาท เพื่อรับสิทธิเข้าเลือกห้องชุดก่อน หลังจากนั้น จ่ายเงินดาวน์+ทำสัญญาอีก 35% มั่นใจว่าโครงการนี้จะให้การตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ ของไซมิส แอสเสท อย่างไรดี ในการเปิดขายครั้งนี้จะนำห้องชุดออกจำน่ายเพียง 70% ส่วนที่เหลือ 30% บริษัทจะเก็บไว้ ทั้งนี้ หลังจากจบงาน Exclusive Day ทางบริษัทเตรียมปรับราคาขายขึ้นอีก 10-15%”

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เสนาเปิดตัว "เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี" เริ่ม 2.59 ล้านบาท มั่นใจราคาขายเป็นต่อ

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) เปิดเผยว่า วันที่ 8-9 ส.ค.นี้ เสนาฯจะเปิดพรีเซลโครงการคอนโดมิเนียม "เดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี" มูลค่าโครงการ 2,230 ล้านบาท ทำเลริม ถ.เพชรบุรีห่างจาก ซ.ทองหล่อ 280 เมตร ราคาเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ 9.7 หมื่นบาท/ตร.ม. ถือเป็นจุดแข็งเมื่อเทียบกับราคาคอนโดฯในทำเลเดียวกัน นอกจากนี้ ผู้ซื้อที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ล่วงหน้าจะได้รับส่วนลดมูลค่า 1 แสนบาท

โดยโครงการเดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี มีพื้นที่ 3 ไร่ เป็นอาคารไฮท์ไรซ์ 33 ชั้น จำนวน 667 ยูนิต มีแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 30, 33 และ 34 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 59 ตร.ม. ไฮไลต์อยู่ที่ทุกห้องถูกออกแบบให้มี Unblock View สามารถเปิดรับวิวเมืองได้ทั้งหมด, มีพื้นที่สีเขียวขนาด 1 ไร่, สระว่ายน้ำยาว 35 เมตร และโซลาร์รูฟท็อปบนดาดฟ้าโครงการที่ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าส่วนกลาง มีที่จอดรถ 42% จะเริ่มก่อสร้าง ก.ย.58 คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน ก.ย.60
ด้านนายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนจำหน่ายโครงการเดอะนิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี เปิดเผยว่า ระดับราคาคอนโดทำเล ถ.เพชรบุรี-รัชดาครึ่งปีแรกปรับตัวเพิ่มขึ้น 28% จากปี 2557 เดิมราคาเฉลี่ย 8.6 หมื่นบาท/ตร.ม. ขณะนี้ราคาเฉลี่ย 1.11 แสนบาท/ตร.ม. ส่วนยอดขายครึ่งปีแรกมี 30% จากจำนวนยูนิตเปิดใหม่ 4,593 ยูนิต ซึ่งปกติแล้วยอดขายทั้งปีจะมีสัดส่วนประมาณ 50-60% ของจำนวนยูนิตเปิดใหม่ ดังนั้นมองว่าตลาดทำเลนี้ยังอยู่ในสภาวะที่ดี


Cr.http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1438589924

โจทย์หิน "รีเจ็กต์เรต" พุ่ง (1) "พฤกษาฯ-LPN" ผนึกแบงก์ช่วยลูกค้า

ยอดปฏิเสธสินเชื่อหรือ "รีเจ็กต์เรต-Reject Rate" ในยุคเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อช้าลง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อซื้อบ้าน-คอนโดมิเนียมมากขึ้น โดยสำรวจพบว่ายอดรีเจ็กต์เรตมีตั้งแต่ 5-35% "ประชาชาติธุรกิจ" เกาะติดความเคลื่อนไหวการปรับตัวของผู้ประกอบการ เพื่อรับมือในช่วงครึ่งปีหลังนี้



"โอภาส ศรีพยัคฆ์" กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ LPN เจ้าตลาดคอนโดมิเนียมตลาดกลาง-ล่างราคา 1-3 ล้านบาท ยอมรับว่า ตลาดคอนโดฯ 1 ล้านบาท แม้จะยังมีดีมานด์ต่อเนื่องและคู่แข่งน้อย แต่สิ่งที่เป็นกังวลที่สุดคืออัตราปฏิเสธสินเชื่อสูงในปัจจุบัน โดยรีเจ็กต์เรตของบริษัท 20% แต่บริหารจัดการหลายอย่างจนกดให้ลดเหลือ 5%

กลยุทธ์ของ LPN มีจุดเน้นที่การสร้างสายสัมพันธ์กับสถาบันการเงิน เพื่อเปลี่ยนทัศนคติของธนาคารให้เห็นข้อดีในการปล่อยกู้ให้กับลูกค้ารายเล็ก กล่าวคือ 1.โอกาสเป็นหนี้เสีย (NPL) ปริมาณสูงในคราวเดียวเกิดขึ้นยากกว่า 2.สร้างโอกาสครอสเซลลิ่ง หรือขายข้ามผลิตภัณฑ์ระหว่างผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ ของธนาคารมีได้มากขึ้น เช่น สินเชื่อพ่วงประกันภัย ประกันชีวิต ฯลฯ

"ทำตลาดล่างต้องไฟต์กับแบงก์ เหนื่อยเหมือนกันกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ เพราะแบงก์มองว่าต้นทุนเปิดลูกค้าต่อหัวมันเท่ากัน จะปล่อยกู้ 20 ล้าน หรือ 5 แสน ต้นทุนก็เท่ากัน เราก็บอกแบงเกอร์ว่าให้มองมุมใหม่ว่า ถ้าลูกค้ากู้ 10 ล้านแล้วเป็นหนี้เสีย อย่าลืมว่าหนี้เสียจะมีก้อนเดียว 10 ล้านทันที แต่ถ้าเงินกู้ 5 แสน ต้องคูณไป 20 คน จึงจะเป็นหนี้เสีย 10 ล้าน"

"โอภาส" แจกแจงด้วยว่า นอกจากนี้ต้องโน้มน้าวในเรื่อง Cross Selling ต้องพยายามคุยให้ธนาคารเปลี่ยนมุมมองให้ได้ สำหรับ LPN เรารู้ว่าลูกค้าอาจจะไม่มีวินัย เวลาเปิดขายโครงการจะจัดให้ลูกค้าเจอธนาคารและยื่นกู้เลย ถ้าพรีแอปพรูฟ หรือยื่นกู้ครั้งแรกผ่านจะยกลูกค้าให้แบงก์ไปดูแล 6 เดือนต่อจากนั้น อย่าให้เป็นหนี้เสียกรณีกู้ไม่ผ่านเพราะติดแบล็กลิสต์ในเครดิตบูโร หรือจากสถาบันการเงินอื่น (เป็นหนี้เยอะ) ก็ต้องยกเลิกการขายไป

ที่น่าสนใจคือ สินเชื่อที่เครดิตลูกค้าที่เกือบ ๆ จะไม่ได้หรือเกือบจะได้ หรือมีปัญหาเรื่องหลักฐานการเงิน ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าพ่อค้าผู้ประกอบอาชีพอิสระ พนักงานขายซึ่งบางทีเงินเดือนไม่ได้เข้าบัญชี มีรายได้รับเป็นเงินสด เป็นกลุ่มที่เวลาขอสินเชื่อมีปัญหามากเพราะไม่มีหลักฐานรายได้ประจำ ภาษีก็ไม่ได้เสีย กลุ่มนี้ถ้าให้ลูกค้าเจอแบงก์ก่อน แบงก์จะแนะนำการสร้างหลักฐาน เช่น การเดินบัญชี (มีเงินเข้า-ออกต่อเนื่องและสม่ำเสมอ) อย่างน้อย 6 เดือน โอกาสที่สินเชื่อผ่านจะมีสูงมาก

"เราเชื่อว่าระยะ 6 เดือนเป็นระยะที่ใช้แก้ปัญหาให้เขาได้ และแก้ได้จริง ก่อนเราทำกระบวนการนี้รีเจ็กต์เรตเคยสูง 20% ตอนนี้เหลือ 5%"

อีกฟาก "เลอศักดิ์ จุลเทศ" รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ระบุสั้น ๆ ถึงข้อมูลอัตราปฏิเสธสินเชื่อของพฤกษาฯว่าต่ำลง ปีนี้มีเพียง 5% เทียบจากปี 2557 อยู่ที่ 7% แสดงให้เห็นว่าลูกค้าบริษัทมีคุณภาพมากขึ้น

โดยอัตราลูกค้ากู้ไม่ผ่านต่ำลงเกิดจากพฤกษาฯ ดำเนินนโยบายพรีแอปพรูฟ 3-4 เดือนก่อนวันโอน นอกจากนี้พฤกษาฯยังมีการให้คำแนะนำด้านการเงินแก่ลูกค้าเพื่อให้โอกาสกู้ผ่านมีสูงขึ้น

รวมทั้งเคล็ดลับเกี่ยวกับการจัดทำหลักเกณฑ์ภายในเพื่อวัดระดับโปรไฟล์ลูกค้าว่าจะสามารถเข้าถึงสินค้าระดับราคานั้นๆได้หรือไม่ ส่งผลให้ผลประกอบการครึ่งปีแรก มียอดพรีเซลรวม 24,000 ล้านบาท จากเป้ารวมทั้งปีตั้งไว้ 47,000 ล้านบาท ถือว่าประสบความสำเร็จเพราะตัวเลขเกินครึ่งทางที่วางไว้


ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

ห้ามพลาด! งาน CITI CONDO EXPO ลดกระหน่ำคอนโดกว่า 100 โครงการ 2,000 ยูนิต

มองไปทางไหนก็เห็นแต่คอนโดหรูผุดขึ้นทั่วเมือง ตัวเลือกสำหรับผู้บริโภคก็มีมากและหลากหลายเพิ่มขึ้น แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัดจำเขี่ย(สำหรับบางคน) สวนทางกับภาพมโนคติคอนโดในฝัน ที่ต้องใกล้เส้นรถไฟฟ้า วิวสวยงาม เดินทางไปมาสะดวก หรืออยู่ในย่านธุรกิจได้ก็ยิ่งได้เฮสองเด้ง แต่เอ... สเป็กสูงขนาดนี้ กับงบประมาณที่มีอยู่ในมือ มันจะสมดุลกันมั้ย หาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก็ยังไม่ได้ข้อมูลที่ตรงใจ แถมสร้างความสับสนมากขึ้น เอาล่ะ ทุกกอย่างจะง่ายขึ้น เพราะตอนนี้มีงานที่จะตอบโจทย์คนที่กำลังมองหาคอนโด ชนิดที่เรียกว่างานเดียวครบ! และตอบทุกคำถามคาใจ พร้อมรวบรวมคอนโดบนทำเลเอาไว้กว่า 100 โครงการ 2,000 ยูนิต ทั่วกรุงเทพ ในดีลราคาพิเศษที่หาจากที่ไหนไม่ได้แน่นอน ในงาน CITI CONDO EXPO by BC ซึ่งเปิดซิงจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม – 2 สิงหาคมนี้ ที่ ลานแฟชั่น ฮอลล์ ชั้น 1 สยามพารากอน
สำหรับมือใหม่ที่กำลังมองหาคอนโดเพื่อซื้อลงทุนเก็งกำไร หรืออยู่อาศัย แต่ตัวเลือกและโปรโมชั่นที่ยังไม่โดนใจ งานนี้สามารถตอบโจทย์ได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ภายในงานตั้งอยู่ลานแฟชั่น ชั้น 1 สยามพารากอน แม้พื้นที่จะไม่ใหญ่มาก แต่ก็จัดวางโซนเอาไว้ชัดเจน โดยแบ่งตามราคากำลังซื้อ เรียกว่างบประมาณในใจมีเท่าไหร่ ดิ่งตรงไปโซนนั้นได้ทันที 


แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะเอ๋อ หรือทำอะไรไม่ถูก เพราะเจ้าหน้าที่แต่ละโซนเยอะและข้อมูลแน่น มือใหม่รับรองว่าได้ข้อมูลแบบครบถ้วนกระบวนความ ใครที่กำลังงบข้อมูลในมหาสมุทรบนเว็บไซต์ มางานนี้งานเดียว ย่อทุกโครงการทั่วกรุงเทพมาไว้ในงานเดียว โดยโซนในงานแบ่งออกเป็น 4 โซน ดังนี้

โซน งบ 3 ล้านบาท รวมทุกโครงการยอดนิยมที่อยู่ในเส้นรถไฟฟ้า BTS - MRT ลดกระหน่ำตั้งแต่ 100,000-370,000 บาท เช่นแอสปาย สุขุมวิท, แอสปาย สาทร-ตากสิน, 
โซน งบ 5 ล้านบาท สามารถหาซื้อคอนโดดีลราคาพิเศษและเป็นมัลติคอนเนคชั่น ติดทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน, รถไฟฟ้าบนดินและแอร์พอตลิงค์ (ARL) อาทิ ริธึ่ม อโศก (RHYTHM Asoke), ไลฟ์ รัชดาภิเษก (Life Ratchadapisek) ได้ตั้งแต่ราคา 3.5 ล้านบาท ไปจนถึง 7.7 ล้านบาท พร้อมย่านทำเลที่ต้องโดนใจใครหลายๆ คนแน่นอน
โซน งบ 9 ล้านบาท เบส อินเวสเมนต์ เช่น ริธึ่ม สาทร (Rhythm Sathorn), ริธึ่ม สุขุมวิท 36-38 (Rhythm 36-38), ริธึ่ม รางน้ำ (Rhythm Rangnam) และโซนสุดท้าย ซูเปอร์พรีเมี่ยม รวม 24 โครงการระดับไฮเอนด์ของกรุงเทพฯที่มีกำลังซื้อสูง ราคาตั้งแต่ 15.41 ล้าน-51.27 ล้าน อาทิ นิมิต หลังสวน (Nimit Lungsuan), มหานคร (Mahanakorn), เดอะ เทอร์ทีไนน์ สุขุมวิท 39 (The XXXIX Sukhumvit 39) โดยทั้ง 4 โซนถูกแบ่งออกมาเพื่อให้สามารถเลือกสเป็กและงบประมาณได้แบบตรงความต้องการจริงๆ
ไม่เพียงเท่านี้ หากสนใจหรืออยากดูห้อง ก็สามารถไปดูห้องจริงๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ ใครก็ตามที่กำลังมองหาคอนโดราคาโดนๆ ในทำเลดีๆ ที่ต้องการ อย่าชะล่าใจ เพราะหากหมดงาน CITI CONDO EXPO by BC ไปแล้ว โปรโมชั่นแรงๆ ราคาแบบนี้อาจไม่มีให้เห็นแล้วก็ได้

ด้าน ขยล ตันติชาติวัฒน์ ผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพ ซิตี้สมาร์ท จำกัด บริษัทผู้นำที่ปรึกษาด้าน การซื้อ ขาย เช่า และลงทุนอสังหาริมทรัพย์ใจกลางเมืองในเครือเอพี เปิดเผยว่า 

"ไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยทั้ง คนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ต่างให้การยอมรับการอยู่ในเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งกว่า 85% ของคอนโดพร้อมอยู่เป็นเรียลดีมานด์ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง อีก 15% ลงทุน เพื่อให้เช่า และเพื่อให้สอดรับกับดีมานด์ที่เกิดขึ้นจริงในตลาด บีซี ทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท จัดงาน CITI CONDO EXPO by BC โดยการคัดสรรคอนโดมิเนียมจำนวนกว่า 2,000 ยูนิต จาก 100 โครงการ บนทำเลที่ดีที่สุดจากทั่วกรุงเทพฯ มาให้เลือกซื้อ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของการอยู่อาศัยในเมืองภายใต้สโลแกน ลดทุกยูนิต ต่อติดชีวิตเมือง"
"โดยทุกโครงการที่ บีซี เลือกมาภายในงานนั้น นอกจากเรื่องทำเลซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกที่อยู่อาศัยแล้ว เรื่องงบประมาณก็ยังเป็นโจทย์สำคัญอีกประการหนึ่ง ผมมองว่าคอนโดมิเนียมเป็นทางออกของคนที่ต้องการที่อยู่อาศัยในเมือง และผมเชื่อมั่นว่าถ้าทุกคนได้มาภายในงาน CITI CONDO EXPO by BC จะได้พบข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่คุณต้องการ ว่าโครงการไหนเหมาะกับไลฟ์สไตล์และเหมาะกับงบประมาณในกระเป๋าของคุณมากที่สุด ซึ่งที่นี้เรามีทีมงาน พร็อพเพอร์ตี้ คอนเซาท์แทนท์ (Property Consultant) ที่คอยให้คำปรึกษาเรื่องอสังหาฯ ที่สำคัญทุกคนสามารถตอบคำถามของคุณได้หมดแบบมืออาชีพ และมีเพียงพอต่อผู้เข้าชมงานอย่างแน่นอนครับ" คุณขยล กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับการจัดงาน CITI CONDO EXPO by BC พบคอนโดฮอตบนทำเลฮิตกว่า 100 โครงการ รวม 2,000 ยูนิต จากทั่วกรุงเทพฯ พร้อมโปรโมชั่นสุดแรงแห่งปี ลดทุกยูนิต ต่อติดชีวิตเมือง พร้อมมอบส่วนลดสูงสุดกว่าล้านบาท สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ที่กำหนดรวมมูลค่าสูงสุดในแต่ละวันภายในงาน รับ MacBook Air รุ่น 13 นิ้ว ขนาด 128 GB มูลค่า 34,900 บาท จำนวน 1 เครื่อง หรือเมื่อจองยูนิตรีเซลในงานรับ Paragon Gift Voucher มูลค่าสูงสุด 10,000 บาท และยังมีสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมายจากพันธมิตรทางการเงิน พร้อมร่วมฟังสัมมนาเรื่อง "ซื้อคอนโดอย่างไรไม่ให้เสี่ยง" โดยกูรูอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง "Mr.Oe" จาก Thinkofliving.com ฟรี

อ่านเกม "GOLD" สู่ GOAL ท้าชิงอันดับ 2 บัลลังก์ทาวน์โฮม

สัมภาษณ์
โกลเด้นแลนด์ เรสซิเดนซ์ กรุ๊ป ในเครือ บมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้หรือ GOLD มีผู้บริหารเลือดใหม่เข้ามาช่วยเติมเต็มทีมงาน ดีกรีอดีตผู้บริหารลูกหม้อของค่ายควอลิตี้เฮ้าส์ ได้รับความไว้วางใจดูแลตลาดทาวน์เฮาส์ ล่าสุดเพิ่งประกาศเป้าหมายไต่เพดานบินจากปัจจุบันอยู่อันดับ 6 ของตาราง ขยับขึ้นสู่อันดับ 2 ภายในปีหน้า "ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์ "คุณจ๊อบ-ภวรัญชน์ อุดมศิริ" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ในฐานะคีย์แมนผู้ดูแลโปรเจ็กต์ทาวน์โฮมแบรนด์โกลเด้นซีรีส์ทั้งหมดที่มีกว่า 5 แบรนด์


- ตลาดทาวน์โฮมครึ่งปีแรก

ผมดูแลแนวราบ 5 แบรนด์ มีบ้านเดี่ยวแบรนด์โกลเด้น เลเจนด์, โกลเด้น เพรสทีจ และโกลเด้นวิลเลจ สำหรับมิกซ์ยูสคือมีบ้านเดี่ยวผสมทาวน์เฮาส์ ใช้แบรนด์โกลเด้น อเวนิว และตลาดทาวน์เฮาส์เลยก็จะมีโกลเด้นทาวน์

โฟกัสเฉพาะสินค้าทาวน์โฮม ยอดขายปี"57 มี 2,800 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าสูงขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาท หลังจากเปิดตัวแบรนด์โกลเด้น ทาวน์ ตั้งแต่ปีที่แล้ว มี 4 โครงการ ปิดยอดขาย 70-80% ถือว่าผลตอบรับดี ปีนี้มีแผนเปิดตัวใหม่อีก 8 โครงการ ช่วงครึ่งปีแรกเปิดแล้ว 2 ทำเล ที่สุขสวัสดิ์-พุทธบูชา ยอดขาย 90% ทำเลที่ 3 งามวงศ์วาน-ประชาชื่น จองเต็มแล้ว 100%

ภาพรวมทาวน์โฮม ถ้าวัดจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา(Q1/57-Q1/58) จะเห็นว่าอยู่ในเทรนด์ขาลง ดูจาก Q1/57 มียอดโอนมูลค่า 4.2 หมื่นล้านบาท ลดลงมาตลอด ล่าสุด Q1/58 เหลือ 3.1 หมื่นล้านบาท แต่โกลด์มองว่าเราสามารถดึงส่วนแบ่งตลาดทาวน์โฮมมาได้ เพราะมีความเชี่ยวชาญโปรดักต์และรู้จักลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี ผลงานก็ยืนยันอย่างนั้นเพราะทำรายได้สวนกระแสตลาด

กลยุทธ์พัฒนาโครงการของบริษัท เน้นทำเล บางโครงการแม้จะอยู่ในซอยแคบ แต่ต้องเข้า-ออกได้หลายทาง ราคาสมเหตุสมผลลูกค้าเข้าถึงได้ ที่สำคัญคือมีฟังก์ชั่นมากกว่าคู่แข่ง เช่น ออกแบบบ้านให้มี 4 ห้องนอน การลงเสาเข็มพื้นหลังบ้าน รองรับลูกค้าอยู่อาศัยแล้วมักจะต่อเติมครัวไทยอยู่หลังบ้าน เราก็ทำเตรียมไว้ให้เลย เพิ่มฟังก์ชั่นห้องพระ ผมมั่นใจว่าเป็นจุดขายใหม่ และน่าจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้ทำเลงามวงศ์วาน-ประชาชื่น ปิดการขายได้ภายในวันเดียว (ยิ้ม)

ความสำเร็จโกลเด้นทาวน์ วัดได้จากสถิติ สิ้นปี"57 มียอดโอน 1,458 ล้านบาทเป็นอันดับ 6 ของตลาด ล่าสุดไตรมาส 1/58 มียอดโอน 624 ล้านบาท ขยับขึ้นเป็นอันดับ 4 ดังนั้นปี 2559 เชื่อว่าจะสามารถเติบโตขึ้นเป็นอันดับ 2 ได้ โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ 5,000 ล้านบาท เป็นรองเพียงบริษัทพฤกษาฯ ซึ่งถือเป็นผู้นำตลาดเพราะทำโปรดักต์ทาวน์เฮาส์มานาน 20 ปี

- แนวโน้มครึ่งปีหลัง

มองในภาพรวม เศรษฐกิจภาพใหญ่เป็นตัวแปรหลัก การปรับลดคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจหรือจีดีพีประเทศของหลายสำนักวิเคราะห์จนเหลือประมาณ 3.5% ณ ตอนช่วงกลางปี ยังไม่แน่ว่าถึงช่วงปลายปีจะดีขึ้นหรือแย่ลง แต่มองจากประสบการณ์ยังไม่เห็นปัจจัยที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ผู้ประกอบการน่าจะต้องทำธุรกิจแบบประคองตัว เพราะกังวลว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะซึมลงเรื่อย ๆ

ยิ่งไตรมาส 3/58 มองแนวโน้มว่าจะตกต่ำลง เพราะปีนี้มีปัญหาภัยแล้งเป็นประเด็นใหญ่ การหมุนเวียนของวงจรเศรษฐกิจสะดุดลง และคนห่วงเรื่องไม่มีน้ำประปาใช้ มองว่าการตัดสินใจซื้อบ้านน่าจะเกิดความเชื่อมโยงกับเรื่องนี้ ในฝั่งผู้ประกอบการน่าจะแข่งขันกันรุนแรง แนวโน้มโปรโมชั่นจะเป็นสิทธิประโยชน์ด้านการเงิน เช่น ฟรีค่าโอน ค่าจดจำนอง ฟรีค่าส่วนกลาง อยู่ฟรี 1 ปี เพราะลูกค้าขาดสภาพคล่อง

ถามผมว่าอยากจะแนะนำรัฐบาลอะไรบ้าง หากจะมีมาตรการกระตุ้นอสังหาฯได้ก็น่าจะดี เช่น ลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง ช่วยได้เยอะมากสำหรับผู้บริโภคตลาดกลาง-ล่าง


ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

5 บิ๊กแบรนด์...ผ่าครึ่งปีหลัง ปีทองผู้บริโภค-ช็อปคอนโดฯต้นทุนเดิม

เลาะขอบเวทีสัมมนา "ผ่ากลยุทธ์กระตุ้นตลาดคอนโดปี 2558" จัดโดยสมาคมอาคารชุดไทย เมื่อเร็ว ๆ นี้ รวบรวมกูรูวงการอสังหาริมทรัพย์ 5 ค่าย ได้แก่ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท, บมจ.แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ LPN, บมจ.เอพี (ไทยแลนด์), บมจ.อนันดา ดีเวลอปเมนท์และ บมจ.ศุภาลัย ครองส่วนแบ่งตลาดคอนโดมิเนียมรวมกัน 35% มาช่วยกันแจมมุมมองแนวโน้มครึ่งปีหลัง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในปัจจุบัน



ครึ่งปีแรกโตระเบิด 72%

"ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต" ผู้บริหารจากค่ายพฤกษา เรียลเอสเตท ในฐานะนายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ภาพรวมตลาดคอนโดฯครึ่งปีแรก มีมูลค่าตลาดรวม 1 แสนล้านบาท เติบโตถึง 72% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ประมาณการปีนี้ทั้งปีโต 27% มูลค่า 1.8 แสนล้านบาท

โดยมีข้อมูลเชิงลึกคือ มูลค่าเติบโตที่ต้องจับตามาจากกลุ่มกำลังซื้อระดับบน ราคาเกิน 5 ล้านบาท/ยูนิต มีซัพพลายเข้ามาเพิ่มสูง คิดเป็นสัดส่วน 54% ของยอดเปิดตัวใหม่ ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มคอนโดฯมูลค่าเกินยูนิตละ 10 ล้านบาท สัดส่วนถึง 31% สะท้อนว่าปีนี้บริษัทผู้พัฒนาโครงการหันมาจับตลาดไฮเอนด์มากขึ้น เพราะมองเห็นเทรนด์ความต้องการอยู่อาศัยใกล้ชิดระบบราง ใกล้ใจกลางเมืองได้รับความนิยมมากขึ้น

ภาวะขายดีกำลังซ้อนเป็นภาพเดียวกันกับบิ๊กแบรนด์ "แข่งกันขาย" นำไปสู่ข้อกังวลของสมาคม เนื่องจากสถิติห้องชุดเปิดตัวใหม่กำลังฟ้องว่า ราคา ตร.ม.ละ 2-3 แสนบาทมาแรงสุด ในขณะที่ลูกค้าเศรษฐีก็มีจำกัด เพราะคอนโดฯที่จองซื้อวันนี้กว่าจะสร้างและโอนคือปี 2560 โจทย์ใหญ่คือทำยังไงไม่ให้เกิดปัญหาฟองสบู่ในกลุ่มคอนโดฯราคาแพงในอนาคต

เอพีงัด 3 สูตรคุมเก็งกำไร

"วิทการ จันทวิมล" ผู้บริหารค่ายเอพี(ไทยแลนด์) บริษัทที่เพิ่งประสบความสำเร็จกวาดยอดขายคอนโดฯ 1 หมื่นล้านบาท ในช่วง 2-3 สัปดาห์ จากแคมเปญ 1 ก้าวถึงรถไฟฟ้า มาบอกเล่าว่า กลยุทธ์ที่เอพีฯทำ

มี 3 เรื่อง 1.การเลือกทำเล คัมภีร์อสังหาริมทรัพย์ที่บอกว่า "ทำเล ทำเล ทำเล" อย่างเดียวไม่พอ จะต้องเป็น "ทำเลเหนือทำเล" เช่น โซนสุขุมวิท แม้จะเป็นไพรมแอเรีย แต่ไม่ได้หมายความว่าตลอดเส้นถนน

จะลงทุนคอนโดฯไฮเอนด์ได้ทุกจุด เป็นต้น

2.การตั้งราคา จุดเน้นคือจะต้องทำให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายสามารถซื้อได้ (Affordable)ยกตัวอย่าง คอนโดฯไลฟ์ อโศก ราคาตลาดตร.ม.ละ 1.4-1.5 แสนบาท แต่บริษัทเลือกที่จะขาย ตร.ม.ละ 1.2 แสนบาท เป็นต้น 3.เทคนิคการขาย จุดเน้นคือควบคุมนักเก็งกำไรไม่ให้เข้ามามากเกินไป เช่น คุมไม่ให้ลูกค้า 1 คนซื้อเกิน 2-4 ยูนิต ถ้าเป็นรายเดิมวนมาซื้อหลายรอบก็จะถูกตัดสิทธิ์ เป็นต้น

"ทั้งหมดนี้เป็น 3 สูตรที่เราพยายามย้ำกับทีมงาน เพราะในสถานการณ์แบบนี้เราควรบริหารความเสี่ยง ไม่ให้คนถือสต๊อกเยอะและเก็งกำไร เพราะวันนี้ขายห้องหมดไม่ใช่ว่าจะซักเซส ต้องไปดูวันโอนกรรมสิทธิ์ในอนาคตด้วย"

ศุภาลัยชี้ปีทองผู้บริโภค

"ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม" ผู้บริหารค่ายศุภาลัย เปิดมุมมองในฐานะเจ้าตลาดต่างจังหวัดทั้งแนวราบและแนวสูงว่า ภาพรวมอสังหาฯปีนี้ไม่ได้แย่อย่างที่ทุกคนบอก ไม่ว่าจะเป็นกระแสข่าวหนี้ครัวเรือนสูง รถไฟฟ้าชะลอเปิดบริการ ฯลฯ โดยยอดขายโครงการในต่างจังหวัดครึ่งปีแรก 2558 ยังบวก 10% รายได้บริษัทบวก 75% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยืนยันว่าตลาดไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่...ก็ไม่ได้ดีเหมือนกันทุกคน

มีการตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ตลาดสินเชื่อบ้านประเทศไทยกลับด้านเมื่อเทียบในต่างประเทศ ซึ่งใช้ระบบให้ลูกค้าแอปพรูฟสินเชื่อก่อนจะซื้อบ้าน ขณะที่เมืองไทยและอีกไม่กี่ประเทศในโลก ตัวสินเชื่อบ้านจะทำก่อนโอนกรรมสิทธิ์ 1 เดือน เท่ากับให้ผู้ซื้อผ่อนงวดเงินดาวน์บนความเสี่ยงว่าสินเชื่อตอนโอนจะผ่านการอนุมัติหรือไม่ ที่สำคัญทำให้เกิดตลาดเก็งกำไรโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม "ไตรเตชะ" ส่งสัญญาณถึงผู้บริโภคว่า ปีนี้มีปัจจัยบวกจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ลูกค้ากลุ่มตลาดกลาง-ล่างสามารถเข้าถึงราคาคอนโดฯ 1-2 ล้านได้มากขึ้น ในขณะที่ยังมีตัวช่วยอื่น ๆ อีกเช่น ภาวะการแข่งขันสูง ต้นทุนวัสดุ-แรงงานยังไม่ปรับขึ้น และยังไม่ถูกเมกะโปรเจ็กต์ภาครัฐแย่งตัว ราคาอสังหาฯจึงเป็นราคาต้นทุนเดิม

"ปีนี้เป็นปีทองผู้บริโภคอย่างแท้จริง เศรษฐกิจอย่างทุกวันนี้ ผมอยากขึ้นราคาก็ขึ้นไม่ได้ การขายก็เป็นราคาต้นทุนเดิม ค่าก่อสร้างปรับลดลงด้วยซ้ำ ปีนี้ผมมีรับเหมาในมือมากกว่า 18 เดือนที่แล้วถึง 100% กลายเป็นว่าปัญหาคือมีผู้รับเหมามากเกินไป"

อนันดาฯมุ่งลูกค้าเจน C

"ชานนท์ เรืองกฤตยา" ผู้บริหารค่ายอนันดาฯ นำเสนอกลยุทธ์ที่น่าสนใจ บอกว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายคำนิยามของบริษัท คือ "เจน ซี" Gen C หมายถึง สะดวกสบาย (Convenient) หาลูกค้าตัวจริงให้เจอ ตอบโจทย์ให้ครบ ยอดขายและแบรนด์ลอยัลตี้จะไม่ไปไหนแน่นอน

ประสบการณ์คือตอนเข้าตลาดเมื่อปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้ง เริ่มจับตลาดคอนโดฯราคา 2 ล้านบาทบวกลบ บนเกมที่เลือกจะเล่นต่อ โจทย์คือการใช้รถไฟฟ้ามีจริงหรือไม่ คำตอบคือใช่ พฤติกรรมลูกค้าเลือกซื้อโครงการในทำเลทางด่วน โครงข่ายรถไฟฟ้า และเป็น Norm ใหม่ของความต้องการผู้บริโภคยุคปัจจุบัน

"เจน C มุมมองของผม พยายามกลับมามองว่า อนาคตแต่ละกลุ่มลูกค้าจะมีความยาก เราพยายามสะท้อนความต้องการผู้บริโภคให้ชัดเจนจริง ๆ ตลาดเบสิกผมไม่เล่นแล้วนะ จะเริ่มปรับกลยุทธ์มาทางตลาดที่จะตอบสนองความต้องการเฉพาะเจาะจง เป็นนิชมาร์เก็ต และเมื่อเราทำตลาดนิช เราก็จะไม่ทำแมสอีเวนต์แล้วนะเท่ากับเซฟคอสต์ได้อีก..."

LPN ห่วงแบงก์คุมสินเชื่อ

"โอภาส ศรีพยัคฆ์" ผู้บริหารค่าย LPN บริษัทที่มีฉายาเจ้าพ่อคอนโดฯกลาง-ล่าง กล่าวว่า ตลาดคอนโดฯ 1 ล้านบาท ที่ชะลอตัวไปช่วงเดือน พ.ย. 57-ก.พ. 58 จากสถานการณ์หนี้ครัวเรือนสูง ทำให้กำลังซื้อชะลอตัว เรียกว่ายอดขายหายไปครึ่งหนึ่ง ตัวเลขค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ

"...เหมือนกับผู้บริโภคกำลังชั่งใจ 4 เดือนมานี้ ผู้บริโภคกำลังรออะไรบางอย่าง สัญญาณบวกเริ่มกลับมาหลังเดือน มิ.ย.ที่ยอดขายกลับมาเป็นปกติ สัปดาห์เฉลี่ย 300 ล้าน"

ดังนั้นเชื่อว่าดีมานด์ตลาดล่างยังมีต่อเนื่องแต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคืออัตราปฏิเสธสินเชื่อ จะต้องมีมาตรการดูแลลูกค้าเป็นพิเศษ เช่น ทำพรีแอปพรูฟล่วงหน้า 6 เดือน เพื่อให้ลูกค้ามีเวลาแก้ไขการเงินกรณีรายที่มีแนวโน้มกู้ไม่ผ่าน

"ในการทำธุรกิจ ไม่ว่าช่วงเวลาที่แย่ที่สุดหรือดีที่สุด มีโอกาสอยู่เสมอ เวลาดีสุดมีช่องว่างเสมอ เวลาแย่สุดก็มีโอกาสเช่นกัน"

ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat