พระราม 2 ฮอต! ผังเมืองเปลี่ยนสีจุดเปลี่ยน อสังหาฯ |
พระราม 2 เป็นทำเลทองที่มีความเคลื่อนไหวการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาอย่างต่อเนื่อง และเห็นภาพชัดเจนขึ้นเมื่อ ปี 2556 ที่มีเหล่าบรรดาบิ๊กเนมอสังหาฯ เข้าไปปักหมุดผุดโครงการดันราคาที่ดินพุ่งเฉียดเท่าตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินของหน่วยงานรัฐที่ประกาศปรับสีผังเมืองใหม่จากสีเหลือง-ส้มเป็นสีส้ม ทำให้สามารถสร้างอาคารขนาดใหญ่ได้ ทั้งนี้หากแต่มองทางด้านกายภาพของทำเลย่านพระราม 2 นั้นสามารถแบ่งได้เป็น 4 โซนหลักๆ ดังนี้ โซน A เริ่มตั้งแต่ถนนสุขสวัสดิ์-วงแหวนรอบนอก โซน B ช่วงวงแหวน-วัดพันท้ายนรสิงห์ (ขอบกทม.) โซน C วัดพันท้ายนรสิงห์-สมุทรสาคร (พอร์โต้ ชิโน่) และ โซน D ตั้งแต่สมุทรสาคร-เพชรบุรี โดยแต่ละช่วงของทำเลดังกล่าวก็มีความเคลื่อนไหวการลงทุนอสังหาฯ ที่แตกต่างกัน
ทั้ง 4 โซน A กับโซน C มีศักยภาพมากสุด “ปริญญา เธียรวร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี. จำกัด กล่าวให้ความเห็นพร้อมกับขยายความว่า โซน A ได้ประโยชน์จากการปรับสีผังเมืองใหม่ ส่วน โซน C ก็เป็นโซนที่มีการตั้งโรงงานหรือลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีนิคมสินสาคร มีโรงงานแช่แข็งรายใหญ่ตั้งอยู่หลายราย และเป็นทำเลที่คนมีเงินอยู่อาศัยมากสุด ขณะที่ โซน B พื้นที่ย่านนั้นเป็นเขตสีผังเมืองเขียว-ลาย สร้างที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวได้อย่างน้อย 100 ตร.ว. ขึ้นไป
นอกจากนี้หากพิจารณาถึงศักยภาพทางด้านภูมิศาสตร์แล้วจะเห็นว่าโซนพระราม 2 สามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ(ย่านสีลม-สาทร)ได้เร็วมากใช้เวลาไม่เกิน 45 นาที และสามารถเลือกใช้เส้นทางได้หลายทางซึ่งเทียบกับทำเลโซนรามอินทรา กม.12 หากจะเดินทางมายังสีลม-สาทร ก็สามารถเลือกใช้ทางด่วนเส้นทางเดียวเท่านั้น และในอนาคตหากเส้นทางการก่อสร้างรถไฟฟ้าวิ่งต่อสายสีม่วงถึง ประชาอุทิศ-วงแหวนอุตสาหกรรมบริเวณแยกสุขสวัสดิ์ตัดพระราม 2 จะมีสถานีรถไฟฟ้า ยิ่งจะมีทางเลือกในการเดินทางมากขึ้น อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ทั้งโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน สวนสาธารณะ ประกอบกับในอนาคตทำเลใกล้เคียงอื่นๆ อาทิ ย่านเจริญนคร ที่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น ไอคอนสยาม จะยิ่งช่วยสนับสนุนให้ทำเลทองกรุงเทพฝั่งตะวันตกบูมยิ่งขึ้น ทิศทางการขยายตัวของเมืองเปลี่ยนจะช่วยเพิ่มมูลค่าของอสังหาฯ ได้ในอนาคต
ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งทำให้มีผู้ประกอบการจำนวนมากเข้ามาพัฒนาโครงการชิงส่วนแบ่งการตลาดจากผู้ประกอบการท้องถิ่น และส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียม แต่สำหรับบริษัทฯ ได้พยายามที่จะหาช่องว่างทางการตลาดซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จด้านการขายค่อนข้างมาก และเพื่อเป็นการทดลองจึงลงทุนในโครงการที่ขนาดไม่ใหญ่ โดยโครงการแรกคือ โครงการเอสเทร่า เรสซิเด้นท์ พระราม 2 - พุทธบูชา บ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์น จำนวน 10 ยูนิตมูลค่าโครงการรวม 150 ล้านบาท เป็นบ้านขนาด 3 ชั้นครึ่ง บนพื้นที่ 62 ตร.ว.ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย 365 ตร.ม. จอดรถได้ 3 คัน
โดยภาพรวมของตลาดราคาบ้านในย่านนั้นราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 7 ล้านบาทต่อยูนิต บริษัทฯ พัฒนาออกมาขายเพียง 10 ยูนิต ๆ ละ 15 ล้านบาท ขายหมดในปีเดียวและเป็นที่น่าสังเกตได้ว่า ณ วันที่เปิดจองคุณลูกค้า 3 ใน 7 ระบุจะจ่ายเงินสด โดยใน 7 ท่าน ที่ซื้อระบุว่าจะขอสินเชื่อเงินกู้จากธนาคาร แต่เมื่อสร้างเสร็จและถึงกำหนดส่งมอบโอนบ้านให้ลูกค้าจะเห็นว่า 7 ท่านเดิม ที่ระบุว่าจะขอกู้ ธนาคารนั้นกลับซื้อบ้านด้วยเงินสด ขณะที่ 3 ท่านที่ระบุจะจ่ายสด ณ วันโอนนั้นเปลี่ยนเป็นการขอกู้ธนาคารแทน ซึ่งนั่นสะท้อนภาพชัดว่าผู้ที่ต้องการซื้อและอยู่อาศัยในย่านนั้นเป็นกลุ่มคนมีเงิน ซึ่งปัจจุบันโครงการดังกล่าวก็โอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าแล้วทั้งหมด
พระราม 2 ฮอต! ผังเมืองเปลี่ยนสีจุดเปลี่ยนอสังหาฯ |
“กลุ่มลูกค้าที่ซื้อโครงการ Astera Pride @ Rama II จะเหมือนกับโครงการแรกคือ ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริงมากกว่า 2 ครั้ง ซึ่งหมายความว่าคนที่ซื้อเกือบ 100% เคยมีประสบการณ์ในการเลือกซื้อบ้านมาพอสมควร และถึงแม้เราจะเป็นแบรนด์ใหม่แต่ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค” นายปริญญา กล่าว
พร้อมกันนี้ผู้บริหารของ บริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี. ยังระบุว่า การพัฒนาโครงการในแต่ละโครงการนั้นจะให้ความสำคัญในเรื่องของทำเลที่ตั้งโครงการ ที่อยู่อาศัยทุกยูนิตจะให้เน้น และใส่ใจในรายละเอียดทุกประเด็นตามหลักปรัชญาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทที่ว่า “ทำบ้านที่ดีให้คนอยู่จริงๆ” ซึ่งบ้านที่ดีจะต้องดีทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้คุ้มที่สุด และที่อยู่อาศัยแต่ละหลังจะมีการออกแบบให้ถูกหลัก ฮวงจุ้ย คำนึงถึงความเหมาะสมทิศทางของลม และแสงเป็นหลัก นอกจากนี้ในปี 2559 มีแผนจะพัฒนาโครงการใหม่อีก 1 แห่งย่านพระราม 2 เป็นโครงการขนาดค่อนข้างใหญ่ เป็นบ้านเดี่ยว 200 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 2,300 ล้านบาท
“การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาคธุรกิจ เรียลเซกเตอร์ซึ่งก็รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ด้วยเหตุนี้จึงอาจเห็นจุดเปลี่ยนของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ใหญ่หลายรายหันมาพัฒนาธุรกิจในรูปแบบเช่าหรือเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีก เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างฐานรายได้กระจายความเสี่ยง แทนที่ที่อดีตเคยทำเฉพาะพัฒนาเพื่อขายเพียงอย่างเดียว” นายปริญญา กล่าว
Cr. http://manager.co.th/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น