วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ยึดคัมภีร์ฮวงจุ้ย “ซื้อบ้าน-คอนโด” มีแต่เฮง เฮง เฮง !


       ซินแสธนากร แนะเลือกซื้อบ้าน-คอนโด ตามศาสตร์ฮวงจุ้ย ตำแหน่งพลังดาว 9 ดวง ที่คำนวณจากตำแหน่งทิศบ้านและตามนักษัตร (ปีเกิด) ของผู้อยู่อาศัยเป็นตัวกำหนดโชคชะตา พร้อมเคล็ดลับเลือกชั้นคอนโดอยู่แล้วดี ชี้อนาคตอีก 9 ปีข้างหน้าความเจริญจะส่งต่อไปพื้นที่โซนถนนพระราม 2 ซึ่งความรุ่งเรืองนี้เป็นผลจากศาสตร์พลังดาวที่มีการเปลี่ยนไปทุกๆ 20 ปี เช่นเดียวกับกระแสของโลกที่จีนกำลังส่งต่อความเจริญไปที่อินเดีย แนะหัวใจของฮวงจุ้ยต้องมีข้อใดข้อหนึ่งใน “ฟ้า-ดิน-คน” ที่เป็นตัวกำหนดโอกาส ทำเล และความสามารถของมนุษย์ ให้สมดุลส่งผลให้กิจการรุ่งเรืองตามยุคสมัย และหากใครมี 3 ข้อนี้จะพบกับสุดยอดแห่งความสำเร็จ
       
       ฮวงจุ้ย ศาสตร์ที่ว่าด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งนิยมกันอย่างแพร่หลายในประเทศจีนว่าเป็นการดึงธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ ด้วยความสอดคล้องที่สมดุลกับธรรมชาติในที่นั้นๆ และไม่ทำร้ายธรรมชาติ และในปัจจุบันศาสตร์นี้ได้เข้ามาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนไทยในการตกแต่งที่อยู่อาศัย หรือนำมาเป็นกฎเกณฑ์ในการเลือกซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม
       
       อาจารย์ธนากร ตันอาวัชนการ ซินแสชื่อดัง กล่าวกับ Special Scoop ว่า ชะตาส่วนหนึ่ง และฮวงจุ้ยส่วนหนึ่ง แต่ในความเห็นส่วนตัวยกให้ชะตาชีวิตเพียง 25% แต่ให้ฮวงจุ้ยถึง 75% เพราะแม้ว่าชะตาเราจะไม่ดีอย่างไร แต่หากอยู่ในบ้านที่ดี เจอคนที่ดีทั้งหมด ย่อมจะชักนำเราไปสู่สิ่งที่ดีได้
       
       ตามความหมายของฮวงจุ้ย อันที่จริงแล้วคำว่า “ฮวง ที่แปลว่า ลม” และ “จุ้ย ที่แปลว่า น้ำ” ทั้งลมและน้ำสอดคล้องตามหลักความเชื่อของคนจีนในสมัยก่อนใช้สำหรับฮวงซุ้ย เพื่อให้อากงและอาม่าหรือคนที่เสียชีวิตไปแล้วได้นอนหลับอย่างมีความสุข
       
       แต่ในปัจจุบันที่คนยุคนี้นิยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อมุ่งหวังให้กิจการมีความเจริญก้าวหน้า หรือมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมีความสุข
       
       ฮวงจุ้ยยึดกฎ 4 ข้อ
       
       ทั้งนี้หลักโบราณเปรียบเทียบวิชาฮวงจุ้ยอยู่ภายใต้ 4 กฎหลัก ดังนี้
       
       อันดับแรก คือ ชัยภูมิของที่นั้นๆ เป็นอะไร เพราะหากว่ามีชัยภูมิที่ดีจะทำให้มีคนไปมาหาสู่มากมาย จะร้ายจะดีอย่างไรทำเลนี้ก็ยังสามารถค้าขายได้
       
       อันดับสอง คือ ทิศทางของภูเขาหรือตัวบ้านที่อยู่อาศัยหรือหลุมฝังศพ ซึ่งการหาตำแหน่งทิศทางเป็นหลักของฮวงจุ้ย จะใช้เข็มทิศโบราณอันใหญ่เพื่อวัดองศา แต่ปัจจุบันนี้มีการคำนวณ 2 สไตล์ คือเข็มทิศจีน และเข็มทิศสวีเดน ซึ่งมีไว้ใช้สำหรับคนเป็นโดยเฉพาะ และแบ่งออกเป็นช่องๆ ทั้งหมด 24 ทิศ เรียกได้ว่าเป็นฮวงจุ้ยที่คนรุ่นใหม่หาเจอ หนีออกจากคนรุ่นเก่า เพื่อนำมาเทียบกับสถานที่นั้นๆ แล้วคำนวณออกมาว่า ทิศทางของลมและน้ำควรอยู่ที่ไหนของบ้าน และสามารถจะจับจุดฮวงจุ้ยทั้งหลายได้ว่า ตำแหน่งในทิศไหนควรมีน้ำ หรือลม เพื่อให้บ้านที่อยู่อาศัยมีความสุข ช่น การเปิดร้านกาแฟต้องเปิดในชัยภูมิที่มีคนเยอะ เพราะร้านกาแฟถือเป็นศูนย์รวมที่คนทุกอาชีพนัดพบปะหารือกันที่นี่ จุดนั้นควรจะเป็นทำเลที่ไหน
       
       อันดับสาม คือ ฤกษ์ยามที่จะทำกิจการ หรือ ฤกษ์ยามเมื่อจะปลูกต้นไม้ให้งอกงามต้องปลูกในฤดูฝน เพราะธรรมชาติช่วยรดน้ำ เช่นเดียวกัน การหาฤกษ์ยามที่ถูกต้องกับการทำกิจกรรมนั้นๆ
       
       อันดับสี่ คือ ชะตามนุษย์ หมายถึงคน แบ่งออกเป็นระบบ 5 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และธาตุไม้ ที่บ่งบอกว่าคนคนนั้นเป็นคนสไตล์ไหน ชอบบริการ ทำงานแบบบริการ งานขายของ การเอาใจใส่ดูแล หรือบางคนเกิดมาเป็นครู เพราะฉะนั้นในลักษณะนี้ต้องทำให้คนสอดคล้องกับอาชีพ ทำให้ทำงานอย่างสบายใจ
       
       ทั้งนี้หากว่าอยู่ในกฎใดกฎหนึ่งภายใต้ 4 กฎหลักก็เรียกได้ว่า เข้าหลักการของวิชาฮวงจุ้ยแล้ว
       
       นอกจากนี้หัวใจสำคัญของฮวงจุ้ยยังสรุปออกมา 3 ปัจจัยหลัก
       
       ปัจจัยแรก คือ “ฟ้า” (เทียน) ที่เป็นตัวกำหนดโอกาสที่เราจะทำกิจการ หรือ การจับโอกาสตามยุคสมัยนั้น และนั่นคือ การรวยเพราะฮวงจุ้ยกำหนด
       
       ส่วนปัจจัยที่สอง คือ “ดิน หมายถึง สถานที่ทำเลที่ตั้ง” (ตี่) หากว่าตรงนี้มีรถผ่านมากน่าจะเปิดปั๊มน้ำมัน เรียกว่า สถานที่ให้สอดคล้องกับคน ซึ่งหมายถึงน้ำที่ไหล ถ้าเปิดกิจการในที่ที่ไม่มีถนนก็จะไม่มีน้ำไหล
       
       ปัจจัยที่สาม คือ “คน หรือมนุษย์” (นั้ง) ที่มีความสามารถไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้ามีความสามารถทำอาหารอร่อย เปิดร้านในที่เดินทางไปด้วยความลำบากยากเข็ญลูกค้าก็ตามไป หรือสินค้ายี่ห้อไหนดีขายที่ไหนก็ขายได้ เช่นสตาร์บัคส์ เชนร้านกาแฟชื่อดังสัญชาติอเมริกา หรือเอ็มเคสุกี้ เปิดสาขาที่ไหนคนก็เต็ม
       
       ตามศาสตร์ของฮวงจุ้ยแล้ว หากว่าใครได้ 1 ใน 3 ปัจจัยนี้จะพบกับความสำเร็จเลย หากได้ทั้ง 3 ปัจจัยถือว่าสุดยอดแล้ว
       
       ฮวงจุ้ยการเลือกบ้านและคอนโด
       
       อย่างไรก็ดี การตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโดโดยยึดหลักฮวงจุ้ยเป็นเรื่องที่ดีเพราะเกี่ยวข้องกับศาสตร์การคำนวณพลังดาว 9 ดวง แบ่งเป็นยุคที่ 1 ถึงยุคที่ 9 ซึ่งวิชานี้เป็นความลับของซินแสสิ่นเต๊กย้ง ฮวงจุ้ยระดับปรมาจารย์นำมาใช้ และวิชานี้ที่ประเทศฮ่องกงนิยมกันมาก เพราะเป็นเรื่องหัวใจของภูเขาและแม่น้ำเก้า ซึ่งเราแบ่งทิศในบ้านออกเป็น 8 ทิศ และแบ่งบ้านสี่เหลี่ยมออกเป็น 8 ช่อง และมีช่องตรงกลางเป็นตัวกำหนด ซึ่งตรงนี้ดาว 9 ดวงจะอยู่ใน 9 ช่องนี้ทั้งหมด คือ วิถีโลก กระแสของโลกที่วนเวียนเปลี่ยนไปทุกๆ 20 ปี
       
       ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่ 8 กลางยุค และที่ผ่านมายุค 7 ประเทศสหรัฐอเมริกามีความเจริญรุ่งเรือง และเมื่อเข้ายุค 8 เห็นได้ชัดว่าอเมริกาเริ่มเสื่อมไปแล้ว เข้ามาสู่ยุคที่ประเทศจีนเจริญรุ่งเรือง และในอนาคตใน 9 ปีข้างหน้านี้ จีนจะเสื่อมถอยลงและจะเริ่มส่งต่อไปที่ประเทศอินเดียที่เริ่มมีชีวิตชีวา มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ซึ่งวิถีนี้จะเปลี่ยนไปเป็นวัฏจักรวนเรื่อยๆ ไป 

อาจารย์ธนากร ตันอาวัชนการ ซินแสชื่อดัง
        แต่เมื่อนำเราเข้ามาอยู่ในบ้านของเราโดยใช้ 24 ทิศ ที่แบ่งเป็น 24 ช่องในเข็มทิศมาเป็นตัวกำหนดตามเข็มทิศ เมื่อเข้าไปยืนอยู่ในบ้านแต่ละหลังจะมีองศา 24 ช่อง ประกอบไปด้วย 12 นักษัตรกับอีก 12 คือตัวกำหนดราศีบนตัวฟ้า ตัวดิน ผู้ใหญ่ เด็ก การสะสมเงิน ตัวความร่ำรวย รวมกัน ป็น 24 ทิศ
       
       ยกตัวอย่างเช่นบ้านหันหน้าไปทางทิศเหนือ ทิศเหนือจะแบ่งออกเป็น 3 ตัว เรียก ฟ้า ดิน ฝน ตามที่บอก อาจจะเป็นเหนือตรงๆ เหนือเอียงซ้าย เอียงขวา ในเหนือนั้นมี 3 ช่อง ช่องเหล่านั้นจะไปตกทิศใดทิศหนึ่งใน 24 ทิศ พอคำนวณดาวทั้ง 9 ดวงก็จะรู้ว่าใน 8 ทิศนี้มีดาวที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ตรงไหนในบ้าน
       
       แปลนบ้านถูกหลักฮวงจุ้ยอยู่แล้วรวย
       
       โดยในหลักการของบ้านก็เช่นกัน เป็นเรื่องของความสมดุลที่เรียกว่า อินเอี๊ยง หรือหยินหยาง คือมีความมืดและความสว่าง ถ้ามีความสว่างมากเกินไปก็จะกระตือรือร้นมากเกินไป มุ่งมั่นแต่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่หากเป็นความมืดก็คือความนิ่ง ความสงบ ถ้าความมืดน้อยก็จะไม่สงบ
       
       ดังนั้นต้องแบ่งหน้าบ้านกับหลังบ้านให้สมดุลกัน โดยหน้าบ้านต้องสว่าง หลังบ้านต้องทึบ ต้องมืด เปรียบได้กับหน้าบ้านสว่างเป็นน้ำ น้ำไหลเข้ามา หลังบ้านทึบเป็นภูเขารับน้ำ แต่ถ้าอยู่สลับที่กันเช่นหลังบ้านโล่ง แปลว่าไม่มีภูเขา ภูเขาตกน้ำ คนที่อยู่ภายในบ้านจะสุขภาพไม่ดี เป็นเรื่องระหว่างเงินกับคน ดูเงินให้ดูที่ความเคลื่อนไหว ดูว่าจะเก็บอยู่หรือไม่ให้ดูความนิ่ง
       
       ข้อห้ามที่ว่าไม่ให้ 2 ประตูตรงกัน แปลว่ามีแต่เงินเข้ามาแต่ทำเท่าไรก็ไม่เหลือ เราจึงต้องอุดข้างหลัง เหมือนโบราณถ้ามีคู่ต้องให้คู่เก็บ สามีทำงาน ภรรยาอยู่บ้านให้เก็บเงิน ไม่มีคนอยู่บ้าน ทำแทบตายไม่มีคนเก็บ คอนโดก็เช่นกัน ต้องแบ่งครึ่ง หน้ากับหลัง กฎของแม่น้ำกับภูเขาก็ใช้ได้ด้วยกัน
       
       กฎของสว่างกับทึบต้องตรงข้ามกัน ทุกครั้งที่มีเข้ามาต้องมีการรับ เช่นถ้ามีประตูต้องไม่มีหน้าต่างตรงกัน แสงก็เช่นกัน ต้องมีความสมดุลระหว่างสว่างและมืด ที่ว่าหน้าบ้านเป็นโบสถ์ วัด โรงเจ ถือว่าเป็นความมืด จะแก้ด้วยการติดไฟสว่างไว้ 1 ดวง เพื่อแก้ให้มีความสว่างเกิดขึ้น หรือหากหน้าบ้านมีรถไฟฟ้าเปรียบเสมือนภูเขาอยู่ตรงหน้า อาจไม่ดี ต้องแก้ด้วยความโล่งโปร่ง จึงมีการวางน้ำพุ ลานน้ำผุดขึ้นมาแก้สร้างความสมดุล ความทึบคือความมั่นคงคือบุคคล ความโล่งคือการเงินหรือสุขภาพ
       
       ความสมดุลของบ้าน เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ส่วนจะรู้ว่าสมดุลหรือไม่นั้น หลักการคำนวณเริ่มจากยืนจากหน้าบ้านใช้เข็มทิศวัด ว่าบ้านนี้หันหน้าไปทางทิศไหน หลังตั้งอยู่ทิศอะไร แล้วมาคำนวณ เบื้องต้นบ้านที่ดีต้องแบ่งด้านหน้าออกเป็น 3 ช่องได้เท่าๆ กัน
       
       สำหรับลักษณะของบ้านที่ดีต้องเข้าตรงกลาง โดยให้เปรียบสัมพันธ์กับหน้าตาของคนเรา ทางเข้าถ้าเบี้ยวซ้าย เบี้ยวขวาเหมือนปากไม่ตรง กินไม่ถนัด และบ้านที่เอาบันไดไว้หน้าบ้านก็ไม่ดี เพราะเปรียบเสมือนเอาภูเขาไปอุดอยู่ข้างหน้า บ้านที่เป็นรูปลักษณะที่ดีคือเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่ด้านตั้งก็ด้านยาว การต่อเติมที่ไม่สมดุลมีส่วนเกินมาก ทำให้ไม่ครบองค์ประกอบ 8 ทิศไม่สมบูรณ์ก็จะไม่ดีในแง่ฮวงจุ้ย
       
       ในการพิจารณาตามศาสตร์ฮวงจุ้ยต้องดูเฉพาะตัวบ้าน ไม่ต้องสนใจที่ดิน ประตูบ้านสำคัญกว่าประตูรั้ว เพราะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่เข้ามาหาเรา รูปลักษณะบ้านก็ต้องอยู่ในความสมดุล โดยบ้านที่ดีคือ บ้าน 2 ชั้นขึ้นไป ประตูกับบันไดควรสัมพันธ์กัน ทางเข้าต้องมีบันไดรับ ซ้ายหรือขวาได้ แต่ต้องไม่ใช่ตรงกลางบ้าน เปรียบเสมือนการรับทรัพย์และนำเข้าไปในตัวบ้าน
       
       บ้านที่ดีต้องมีห้องรับแขก เข้าประตูมาแล้ว อยู่ซ้ายหรือขวาแล้วแต่ทิศทางเป็นตัวกำหนด
       
       บ้านที่ดี โดยหลักการทั่วไป ห้องใหญ่ที่สุดคือห้องของหัวหน้าครอบครัว คือคนที่หาเงินได้มากที่สุด
       
       บ้านที่ดี มุมของพ่อแม่ควรเป็นมุมสงบอยู่ชั้นล่าง
       
       บ้านที่ดี ห้องครัวเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ถือเป็นมุมทรัพย์อีกแบบหนึ่ง ไม่โปร่งโล่งเกินไป ควรเป็นมุมที่ต้องแอบซ่อน เห็นครัวง่ายก็จะมีคู่แข่งตลอด อาหารการกินก็จะมีคนมาแย่งกิน กรณีนี้ยกเว้นสำหรับร้านอาหาร และครัวไทยที่ทำนอกบ้าน
       
       บ้านที่ดี การทำครัวให้เลี่ยงการประจันหน้าระหว่างเตาไฟกับอ่างล้างจาน เพราะน้ำกับไฟเจอกัน จะทำให้คนในบ้านทะเลาะกัน
       
       บ้านที่ดี โดยหลักการฮวงจุ้ย การดูครัวให้ใช้ดวงชะตาของแม่บ้านเป็นหลัก เพราะถ้าแม่บ้านไม่มีแรง กลับบ้านมาก็ไม่มีใครป้อนอาหารให้มีความสุขได้
       
       บ้านที่ดี ควรเว้นการทำห้องน้ำตรงกลางบ้าน และตรงกลางของหลังบ้าน ห้ามส่วนที่เป็นจุดศูนย์กลางทั้งหมด เพราะจะทำให้ประธานมีปัญหา
       
       หน้าต่างและบันไดบ้านควรจัดสมดุลด้วยสายตาและยึดหลักจำนวนเลขคี่ เพราะเลขคี่ คือ พลังการเคลื่อนไหว ส่วนเลขคู่ คือพลังหยุดนิ่ง
       
       หลังคาบ้าน เปรียบเสมือนหมวก หากว่าออกแบบชายคาต่ำกว่าสายตา ทำให้คนในบ้านมองไปไม่ไกล ทัศนวิสัยไม่ดี เหมือนปิดหน้าปิดตาไว้
       
       การเลือกแปลนบ้านให้ใช้เกณฑ์ของกระแสที่ไหลมาเป็นตัวกำหนด คือให้ถนนเป็นหลัก หากว่าเป็นหลังสุดท้ายและติดริมรั้วเลยถือว่าไม่ดี เรียกว่าปลายน้ำ ยิ่งเป็นรั้วที่ติดกับหมู่บ้านและมีบ้านที่อยู่ภายนอกบังอยู่ด้วยยิ่งไม่ดี แต่ถ้าติดรั้วและอีกฝั่งเป็นที่โล่งยังถือว่ามีกระแสลมพัดผ่าน ไม่เข้าหลักเกณฑ์ข้อนี้ อย่างไรก็ตามยังต้องมองว่าต้นทางกับปลายทางสู้กลางทางไม่ได้
       
       ที่สำคัญทางสามแพร่งถือเป็นข้อห้ามอันดับหนึ่ง เพราะกระแสจะวิ่งตรงเข้ามาชนตัวบ้าน ชนประตู จะมีปัญหามาก คนที่อยู่บ้านลักษณะนี้จะไม่มีความสุขเพราะกระแสแรง ส่งผลต่อคนแต่ละคนและมีทิศทางเป็นตัวกำหนด หากพุ่งชนทิศตะวันออกจะเกี่ยวข้องกับคำพูด ลม ปากและคอแห้ง มักจะมีปัญหาสุขภาพเรื่องปอด ทิศตะวันตกมักจะมีปัญหาเรื่องอุบัติเหตุ ทิศเหนือมีปัญหาเรื่องมดลูก ทิศใต้มีปัญหาเรื่องสายตา อย่างไรก็ตามบ้านลักษณะนี้เงินทองจะเข้าดีแต่สุขภาพจะไม่ค่อยดี
       
       การเลือกทิศบ้านตามปีนักษัตร 
       
       ขณะเดียวกันในตำแหน่งของบ้านหากเลือกตามหลักการฮวงจุ้ยตามปีนักษัตรจะทำให้คนในบ้านมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ประกอบด้วย
       
       บ้านที่หันประตูสู่ทิศใต้ เหมาะกับคนเกิดปีชวด วอก มะโรง ฉลู แต่ไม่ดีกับคนปีมะเมีย ขาล จอ และมะแม
       
       บ้านที่หันประตูสู่ทิศเหนือ เหมาะกับคนปีมะเมีย ขาล จอ และมะแม แต่ไม่ดีกับคนชวด วอก มะโรง และฉลู
       
       บ้านที่หันประตูสู่ทิศตะวันออก เหมาะกับคนปีระกา มะเส็ง ฉลู แต่ไม่ดีกับเถาะ กุน มะแม จอ
       
       บ้านที่หันประตูสู่ทิศตะวันตก เหมาะกับคนปีเถาะ กุน มะแม จอ แต่ไม่ดีกับระกา มะเส็ง ฉลู และมะโรง 


เลือกซื้อคอนโดชั้นไหนถูกโฉลกผู้อยู่ 
       
       ซินแสธนากร บอกอีกว่า ในการเลือกซื้อคอนโดนั้นตามศาสตร์ฮวงจุ้ยยังสามารถตัดสินใจซื้อได้ตามระบบ 5 ธาตุ
       
       ธาตุดิน คือคอนโดที่เป็นสี่เหลี่ยม ควรซื้อชั้นที่ 5, 10, 15, 25
       
       ธาตุไม้ คือคอนโดที่เป็นลักษณะสูง เป็นแท่งขึ้นไป ควรซื้อชั้นที่ 3, 8, 16, 38, 61
       
       ธาตุทอง คือคอนโดทรงกลม ควรซื้อชั้นที่ 10, 15, 49, 94
       
       อีกทั้งคอนโดที่มีการก่อสร้างเป็นลักษณะตัว U จะถูกตามหลักฮวงจุ้ย คือมีรูปลักษณะที่ดีเหมือนปากโอ่ง รับซ้ายขวามาเก็บไว้ 


ส่วนคนที่เกิดนักษัตรใด ควรเลือกซื้อคอนโดชั้นไหนจึงจะส่งผลดีต่อการอยู่อาศัย
       
       ปีชวด มะโรง วอก อยู่ในกลุ่มธาตุน้ำ ชั้นที่ดีคือชั้นที่ลงท้ายด้วย 1 กับ 6 ทั้งหมด
       
       ปีฉลู ระกา มะเส็ง อยู่ในกลุ่มธาตุทอง ชั้นที่ดีคือชั้นที่ลงท้ายด้วย 9 กับ 4 ทั้งหมด
       
       ปีขาล มะเมีย จอ อยู่ในกลุ่มธาตุไฟ ชั้นที่ดีคือชั้นที่ลงท้ายด้วย 2 กับ 7 ทั้งหมด
       
       ปีเถาะ มะแม กุน อยู่ในกลุ่มธาตุไม้ ชั้นที่ดีคือชั้นที่ลงท้ายด้วย 3, 8, 1 และ 6 ทั้งหมด
       
       รวมทั้งในตัวคนเราจะมีกลุ่มถ่อฮวย คือจุดเสน่ห์ ซึ่งคือทิศทางที่ทำให้นักษัตรเรามีพลัง
       
       ปีชวด มะโรง วอก มุมเสน่ห์ คือทิศตะวันตก
       
       ปีฉลู ระกา มะเส็ง มุมเสน่ห์ คือทิศใต้
       
       ปีขาล มะเมีย จอ มุมเสน่ห์ คือทิศตะวันออก
       
       ปีเถาะ มะแม กุน มุมเสน่ห์ คือทิศเหนือ
       
       ในทิศที่เป็นมุมเสน่ห์ต้องไม่ให้มีห้องน้ำ ถังขยะหรือสิ่งสกปรก ควรทำให้มีสิ่งเคลื่อนไหว มีสิ่งสวยงาม สดชื่นเช่นดอกไม้ เพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวา ถ้าแก้ไม่ได้เช่นเป็นห้องน้ำ ต้องรักษาความสะอาด ฝาห้องน้ำต้องทำให้สวยงาม หาต้นไม้ ดอกไม้สวยๆม าวางไว้ ไม่ใช้ต้นไม้แห้ง ต้นไม้ตายแล้ว คนจีนอาจจะใช้เป็นต้นกวนอิม คนอยากมีคู่อาจจะเป็นกุหลาบ หรือคนทำการค้า ต้องมองทิศนี้เป็นทิศพลังเพื่อเรียกลูกค้า วางสินค้าโชว์ มีของหอม มีดิสเพลย์สวยๆ รับลูกค้า เป็นต้น 


ซื้อคอนโดมือ 2 ดูภูมิหลังคนเก่า 
       
       อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาเลือกซื้อคอนโดตามหลักการเสริมพลังแล้ว ยังต้องดูดวงชะตาของผู้พักอาศัยเป็นอันดับต่อไป แต่หากเราไปซื้อคอนโดที่มีการอยู่อาศัยแล้ว หรือไปซื้อต่อจากเจ้าของเก่า ผู้ที่จะซื้อต้องดูปูมหลังและลักษณะว่าเจ้าของเก่านั้นอยู่แล้วประสบความสำเร็จ หรืออยู่แล้วมีแต่เรื่องเดือดร้อน เช่นมีเรื่องครอบครัวแตกแยก การค้าถูกโกง หรือมีอุบัติเหตุหรือไม่ เพราะอาจเป็นปัจจัยจากที่อยู่ หาก จำเป็นต้องซื้อควรให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดู แต่ถ้าสามารถเลี่ยงได้ควรเลี่ยง เพราะผู้ที่อยู่อาศัยจะมีผลกับฮวงจุ้ย ของนั้นมีสิ่งไม่ดี เมื่อคนเข้าไปก็จะมีผลเช่นกัน
       
       กรณีที่มีการฆ่าตัวตายในห้องหรือที่อาคาร หลายกรณีคอนโดมีลักษณะตะขอ มีสิ่งที่แขวน มีที่เกี่ยวพัน บางรายเช่นคอนโดที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนปืน คือเป็นรูปตัว L คนที่อยู่บริเวณปลายกระบอกปืนจะมีปัญหา จึงเป็นที่เรียกว่ารูปลักษณะของคอนโดส่งผลกับตัวผู้อยู่ เพราะปลายตัว L เป็นลักษณะที่ไม่ครบ หายไปส่วนหนึ่ง อาศัยตรงปลายปืน ผู้อยู่อาศัยจะมีความเครียดบ่อย หรือคนที่อยู่บ้านทางแพร่ง มีรถมาผ่านหน้าบ้านบ่อย ก็เหมือนมีเคียวมาคว้านอยู่ตลอด จะรู้สึกไม่สบายใจ เหมือนมีคนทรยศตลอดเวลา
       
       เคล็ดแบบนี้จะบอกเฉพาะเจาะจงยาก เพราะใน 24 ทิศจะไม่เหมือนกัน แต่ละเคสจะต่างกันไป อาจใช้หลักการง่ายๆ คือให้สังเกตตัวเองว่านอนในห้องแล้วตรงไหนรู้สึกว่าหลับสบาย สงบ มุมนั้นจะเป็นมุมที่ดี ให้ทิ้งคำว่าตะวันตก ตะวันออกตามความเชื่อออกไปเลย
       
       เส้นพระราม 2 กำลังมาแรง 
       
       อาจารย์ธนากร บอกอีกว่า บ้านในกรุงเทพฯ มีกระแสของดาว เป็นตัวกำหนดชี้ว่าความเจริญไม่ตายตัวอยู่ในทำเลใดทำเลหนึ่งเสมอไป เช่นในยุคหนึ่งความเจริญจะอยู่ในโซนทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเทพฯ เช่น ถนนรามอินทรา แต่ในยุคความเจริญถัดไป ความเจริญจะขยายไปที่โซนจังหวัดนนทบุรี จากนั้นต่อเนื่องไปเส้นทางลงไปสายใต้ นั่นหมายถึงว่ายุคดาวที่ 8 เข้าสู่ยุค 9 นั้น ความเจริญกำลังจะขยายไปในย่านถนนพระราม 2 ไม่กี่ปีข้างหน้า เรียกได้ว่า กระแสของยุคที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนไป จะมีวงจรที่เปลี่ยนไปอย่างนี้ตลอดในอีก 9 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งใน พ.ศ. 2567 

Cr.http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000085527&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

“ออริจิ้นพร็อพเพอร์ตี้” คาดเข้าเทรดไตรมาส 3/58


        ออริจิ้นพร็อพเพอร์ตี้ พร้อมเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในไตรมาส 3/58 โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก จำนวน 180 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 0.50 บาท ด้านผู้บริหารเผยลุยเปิดโครงการใหม่ในเดือนสิงหาคมนี้ โครงการ ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท หวังกระตุ้นยอดขายสิ้นปีแตะ 5,500 ล้านบาท จากปัจจุบันมียอดรอรับรู้รายได้ 5,300 ล้านบาท พร้อมเดินสายขายโครงการคอนโดมิเนียมต่างประเทศ คาดสัดส่วนรายได้ลูกค้าต่างประเทศโต 20% ในปีหน้า จากเดิม 10%
       
       นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ออริจิ้นพร็อพเพอร์ตี้จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทคอนโดมิเนียมตามแนวสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายในไตรมาส 3/2558 นี้ โดยจะขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก จำนวน 180 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
       
       สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้ในการขยายโครงการ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการอยู่ในมือ 27 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 17,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จํานวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 8,065 ล้านบาท และโครงการในอนาคตอีกจํานวน 6 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,270 ล้านบาท และยอดขายที่รอรับรู้เป็นรายได้ จำนวน 5,300 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2558-2559
       
       ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่ม คือ โครงการ ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา เป็นคอนโดมิเนียม 35 ชั้น มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายโครงการดังกล่าวได้ในไตรมาส 3/2558 โดยโครงการดังกล่าวได้รับวงเงินสินเชื่อจากธนาคารยูโอบีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
       
       ส่วนโครงการไนท์บริดจ์ สกายซิตี้ สะพานใหม่ ติดถนนพหลโยธิน และสถานีรถไฟฟ้า BTS สายหยุด เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 15 ชั้น มูลค่า 1,340 ล้านบาท ปัจจุบัน มีการเปิดขายอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้มียอดขายแล้วกว่า 80% ของมูลค่าโครงการ และคาดว่าโครงการดังกล่าวจะก่อสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 3/2560
       
       ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้นพร็อพเพอร์ตี้ (ORI) กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ว่า แนวโน้มธุรกิจมีการเติบโตที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ในระดับ 3%
       
       นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เดินหน้ากระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะยอดขายในส่วนของกลุ่มลูกค้าจากต่างประเทศ ซึ่งในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมนี้ บริษัทฯ จะเดินสายนำเสนอข้อมูลของโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ทั้งแบบอาคาร Low Rise และอาคาร High Rise ที่ประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และจีน โดยตั้งเป้าสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศในปี 2559 เพิ่มเป็น 20% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศอยู่ที่ระดับ 10%
       
       สําหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2555 บริษัทฯ มีรายได้รวม 192.4 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 28.6 ล้านบาท ปี 2556 มีรายได้รวม 418.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 64.2 ล้านบาท และปี 2557 มีรายได้ 559.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 70.3 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา (2555-2557) โดยมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 69.79% ขณะที่ผลการดำเนินการในไตรมาสแรกยังสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมีคุณภาพของบริษัทฯ ที่รายได้ 489.5 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 105.3 ล้านบาท เพียงไตรมาสเดียวเติบโตอย่างมีคุณภาพเมื่อเทียบกับปีที่แล้วทั้งปี

Cr.http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000085290&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4

เศรษฐกิจชะลอ หนี้ครัวเรือนพุ่งฉุดคอนโดฯ ครึ่งปีหลังทรงตัว แสนสิริขึ้นเงินดาวน์ 15-20% ลดความเสี่ยง


        “แสนสิริ” คาดตลาดคอนโดฯ ครึ่งปีหลังทรงตัว ชี้เศรษฐกิจชะลอตัว หนี้ครัวเรือนสาเหตุหลัก คอนโดฯ ราคา 2 ล้านบาทชะลอมากสุด เผยปรับเพิ่มเงินดาวน์ 15-20% ลดความเสี่ยง ครึ่งปีหลังลุยเปิดคอนโดฯ ร่วมทุนบีทีเอส หวังดันยอดขายตามเป้า 2.2 หมื่นล้าน 
       
       นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะทรงตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง และยังไม่มีแนวโน้มลดลง ประกอบกับปัญหาภัยแล้ง ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ ส่งผลต่อรายได้ผู้บริโภคทำให้กำลังซื้อลดลง
       
       ทั้งนี้ หากพิจารณาเป็นรายภูมิภาคจะพบว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มตลาดกลาง-บน ระดับราคาประมาณ 4 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไป หรือราคาตั้งแต่ 100,000 บาทต่อตารางเมตร แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดดังกล่าวมีกลุ่มเก็งกำไรและกลุ่มนักลงทุนบ้าง แต่ไม่น่ากังวลเพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง น่าจะไม่มีการทิ้งเงินดาวน์ ส่วนกลุ่มตลาดล่างราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ดีมานด์มีการชะลอตัวมากสุด เพราะเป็นกลุ่มที่มีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง
       
       ส่วนภาพรวมตลาดคอนโดฯ ในต่างจังหวัดยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง เนื่องจากมีซัปพลายคอนโดมิเนียมสะสมมาก แต่พบว่า บางจังหวัดเริ่มมีสัญญาที่ดีขึ้นเช่น ภูเก็ต หัวหิน ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีสต๊อกคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ในต่างจังหวัด 8 โครงการ และอยู่ระหว่างก่อสร้าง 2 โครงการ จะแล้วเสร็จในปีนี้ และปีหน้า คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นระดับราคา 2 ล้านบาท ซึ่งสต๊อกดังกล่าวถือว่าไม่มากนัก และมีสต๊อกที่อยู่ในกรุงเทพฯ อีกกว่า 1,000 ล้านบาท
       
       “บริษัทได้ปรับตัวตั้งแต่เริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจไม่ดีตั้งแต่ช่วงปลายปี 2557 ที่ผ่านมา ด้วยการปรับอัตราการเก็บเงินดาวน์เพิ่มขึ้นจากเดิมราว 10% เป็น 15-20% พร้อมทั้งได้ขยายฐานลูกค้าไปจับกลุ่มลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติ 20-25% เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และจีน เป็นต้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว” นายอุทัย กล่าว
       
       นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างยอดขายให้ได้ตามเป้าหมาย โดยล่าสุด ได้นำที่ดินของบริษัทซึ่งเดิมจะสร้างคอนโดมิเนียมก่อนขาย มาเปิดโครงการ เดอะไลน์ สุขุมวิท 71 พัฒนาภายใต้บริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง ทรี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กับแสนสิริ มูลค่า 2,000 ล้านบาท พื้นที่ 1.3 ไร่ สูง 28 ชั้น จำนวน 291 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 29-62 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นประมาณ 4-10 ล้านบาท หรือ 1.5 แสนบาทต่อ ตร.ม.
       
       โดยจะเปิดขายลูกค้าต่างประเทศก่อนในวันที่ 1-2 ส.ค.นี้ พร้อมกันในฮ่องกง สิงคโปร์ และขยายตลาดใหม่ คือ ไต้หวัน ตั้งเป้าหมายลูกค้าต่างชาติ 40% ส่วนในไทยจะเปิดขายวันที่ 8-9 ส.ค.นี้ โดยจัดโปรโมชัน Ready to move in สำหรับลูกค้าที่ซื้อจะได้รับการันตีผลตอบแทนค่าเช่า 5-6% ต่อปี
       
       ทั้งนี้ ทำเลพระโขนง นับเป็นอีกทำเลกำลังเติบโตทางเศรษฐกิจที่รองรับการขยายตัวพื้นที่ชั้นในย่านท่องหล่อ-เอกมัย ที่เป็นศูนย์รวมธุรกิจการค้า และความบันเทิง ที่ปัจจุบันราคาที่ดินได้มีการปรับขึ้นไปสูงมาก หากเป็นที่ดินติดริมถนนราคาขึ้นไป 1 ล้านบาทต่อ ตร.ม.แล้ว จึงทำให้พระโขนง เป็นทำเลใหม่ที่มีดีมานด์สูงขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนจากราคาค่าเช่าที่ขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 13% ในระยะเวลา 2 ปี มาอยู่ที่ 492 บาทต่อ ตร.ม.ต่อเดือน หรือประมาณ 1.7-2.1 หมื่นบาทต่อเดือน
       
       สำหรับยอดขายคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งปีแรกทำแล้วประมาณ 10,000 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายทั้งปี 22,000 ล้านบาท และปัจจุบันมีสินค้ารอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก) กว่า 31,000 ล้านบาท รับรู้ในปีนี้ 15,000 ล้านบาท ที่เหลือทยอยรับรู้ในอีก 1-2 ปี

Cr.http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000085157&Keyword=%a4%cd%b9%e2%b4
       

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ธนาพัฒน์ฯ แย้มทุนนอกรุมจีบร่วมลงทุนอสังหาฯ


ทรรศวรรณ ปรีดาวิภาต
ธนาพัฒน์ฯ เผยทุนนอกจีบร่วมลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาฯ คาดเจรจาจบเร็วๆ นี้ ชี้เพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน ตั้งเป้าพัฒนาโครงการมูลค่า 3-5 พันล้านบาท ชี้อสังหาฯ ครึ่งปีหลังยังไม่กระเตื้อง เหตุเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าหนี้ครัวเรือนสูง เตรียมเปิดตัว 2-3 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 2 พันล้านปีหน้า 
       
       น.ส.ทรรศวรรณ ปรีดาวิภาต ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท ธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกระแสการร่วมทุน ซื้อกิจการทั้งจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ และกลุ่มนักลงทุนชาวไทยในช่วงที่ผ่านมา ไม่เว้นแม้แต่ธนาพัฒน์เองที่กลุ่มทุนต่างชาติเจรจาเพื่อขอร่วมลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้
       
       แม้ว่าการร่วมทุนจะทำให้บริษัทมีศักยภาพในการลงทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันนำไปสู่การเติบโตได้รวดเร็วขึ้น แต่บริษัทยังคงมีนโยบายดำเนินธุรกิจแบบระมัดระวัง สร้างการเติบโตแบบมั่นคง และยั่งยืน โดยตั้งเป้าภายใน 3-5 ปี จะสามารถพัฒนาโครงการมูลค่าไม่น้อยกว่า 3,000-5,000 ล้านบาทต่อปี
       
       น.ส.ทรรศวรรณ กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ ในครึ่งปีหลังแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นมากนัก เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ยังช้า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนสูง อัตราการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงินยังค่อนข้างต่ำ และราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวขึ้นตามกลไกราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่ดินแนวรถไฟฟ้า ส่งผลให้ต้นทุนราคาที่ดินที่สูง ทำให้กำลังซื้อวิ่งตามไม่ทันต่อราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก จึงทำให้ผู้ประกอบการอย่างต้องระมัดระวังในเรื่องของการลงทุน
       
       “ที่ผ่านมา มีบางโครงการที่เปิดตัว และสามารถปิดยอดขายได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วนั้น คงต้องไปลุ้นกันอีกครั้งตอนโอนกรรมสิทธิ์ว่าจะเป็นเรียล ดีมานด์ที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นนักลงทุน แต่ถ้ามีสัดส่วนของการเก็งกำไรมากก็น่าเป็นห่วง เชื่อว่าปัจจุบันความต้องการในเรื่องที่อยู่อาศัยยังมีอยู่มาก สะท้อนจากตัวเลขยอดการเยี่ยมชมของโครงการที่สูง แต่การตัดสินใจนานขึ้น เลือกมากขึ้น บริษัทจึงได้นำแคมเปญ 3 ถูกมาใช้ คือ “ถูกทำเล ถูกใจ และถูกราคา”
       
       น.ส.ทรรศวรรณ กล่าวต่อว่า สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มียอดขายแล้ว 300 ล้านบาท โดยคาดว่าทั้งปีจะมียอดขายราว 800-900 ล้านบาท ส่วนแผนการดำเนินงานของบริษัทในครึ่งปีหลังนี้ ถึงต้นปี 2559 คาดว่าจะมีการเปิดตัวใหม่ประมาณ 2-3 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท ขณะนี้มีที่ดินที่ซื้อใหม่แล้ว 1 แปลง และที่ดินสะสมย่านพระราม 2 อีก 2-3 แปลง ซึ่งรูปแบบการพัฒนาจะเป็นโครงการรูปแบบใหม่ที่บริษัทยังไม่เคยพัฒนามาก่อน เน้นเจาะลูกค้าที่อาศัยอยู่ในเมือง โดยเน้นพัฒนาโครงการที่ไม่ใหญ่มาก จำนวน 50-60 ยูนิต ใช้ระยะเวลาในการขายเพียงครึ่งปี
       
       ทั้งนี้ เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทต่างๆ มีการจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นยอดขาย เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังที่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งในส่วนของบริษัทได้จัดแคมเปญครบรอบ 12 ปี เพื่อคืนกำไรให้ลูกค้า โดยนำ 2 โครงการ คือ “ซิม วิภา-ลาดพร้าว” เป็นคอนโดมิเนียมเหลือขายอยู่ 10 ยูนิต เนื้อที่ 60 ตร.ม.ขึ้นไป ราคาเริ่มต้น 5.9 ล้าน รวมมูลค่าประมาณ 120 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งหมดกว่า 1,900 ล้านบาท
       
       และ “เจด สาทร-พระราม3” แบ่งการขายเป็น 2 เฟส เป็นทาวน์โฮม สูง 4 ชั้นครึ่ง ขนาด 20.5 ตร.ว.ขึ้นไป ราคาเริ่มต้นที่ 12.8-30 ล้านบาท จำนวน 72 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 60% และ “เจด ไฮท์” เป็นลักชัวรี่โฮมออฟฟิศ สูง 4 ชั้นครึ่ง ขนาด 45 ตร.ว. ราคา 28 ล้านบาท เหลือขาย 4 ยูนิต มาจัดแคมเปญสำหรับผู้ซื้อตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค.นี้ไปจนถึงสิ้นปี จะมีสิทธิลุ้นจับสลากรถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ รุ่นซี 200 มูลค่า 2.59 ล้านบาท รวมไปถึงการร่วมออกบูทในงาน “บ้านดีสี่มุมเมือง” ระหว่างวันที่ 30 ก.ค.-4 ส.ค.นี้ ที่เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว คาดว่าจะสามารถปิดการขายทั้ง 2 โครงการสิ้นปีนี้
       
Cr.http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000084627&Keyword=%cd%ca%d1%a7%cb%d2

ทางจักรยานยาวที่สุดในเอเชีย ปั่นเชื่อม 5 จังหวัดจาก ปทุมถึงชัยนาท

ทางจักรยานยาวที่สุดในเอเชีย ปั่นเชื่อม 5 จังหวัดจาก ปทุมถึงชัยนาท

ช่วงนี้กระแสปั่นจักรยานกำลังมาแรง ทำให้มีหลายหน่วยงานในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดจัดสรรงบประมาณ สร้างทางจักรยานมารองรับ

ล่าสุด "ทช.-กรมทางหลวงชนบท" หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ก็ไม่ตกขบวน เตรียมทุ่มเม็ดเงินจำนวน 1,500 ล้านบาท สร้างทางจักรยานด้วยยางพาราที่ว่ากันว่า ยาวที่สุดในเอเชีย ด้วยระยะทางรวม 184.4 กิโลเมตร มี "พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง" เจ้ากระทรวงเป็นผู้ร่วมขับเคลื่อนโครงการ 


สำหรับแนวเส้นทางจะพาดผ่าน 5 จังหวัด มีจุดเริ่มต้นที่ศูนย์บริการการกีฬา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จังหวัดปทุมธานี มุ่งหน้าสู่ทางหลวงหมายเลข 3214 (เส้นทางข้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอ่างทอง จังหวัดสิงห์บุรี มาสิ้นสุดที่เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท

พล.อ.อ.ประจินกล่าวว่า ถนนที่จะใช้ทำทางจักรยาน ระยะทาง 184.4 กิโลเมตร อยู่ในความรับผิดชอบของ 3 หน่วยงาน คือ กรมทางหลวงชนบท ระยะทาง 124.8 กิโลเมตร กรมทางหลวง ระยะทาง 55 กิโลเมตร และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ระยะทาง 5 กิโลเมตร ขณะนี้กรมทางหลวงชนบท อยู่ระหว่างสำรวจและออกแบบในส่วนที่รับผิดชอบ

ขณะนี้โครงการมีความก้าวหน้าแล้วประมาณ 20% คาดว่าภายในสิ้นปีนี้แบบรายละเอียดจะแล้วเสร็จ จากนั้นจะขอจัดสรรงบประมาณและเริ่มก่อสร้างในปี 2559 และแล้วเสร็จในปี 2560 คาดว่าจะใช้งบประมาณสำหรับก่อสร้างประมาณ 1,500 ล้านบาท ในเบื้องต้นอาจจะต้องของบฯกลางมาดำเนินการก่อนบางส่วนเพื่อเริ่มโครงการ

สำหรับรูปแบบทางจักรยาน "พล.อ.อ.ประจิน" กล่าวว่า จะแยกช่องทางจักรยานกับถนนอย่างชัดเจน มีการออกแบบที่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ รวมทั้งเป็นไปตามมาตรฐานทางวิศวกรรม มีความสอดคล้องกับสภาพพื้นที่และความต้องการของประชาชน

นอกจากนี้ จะสร้างจุดพักรถขนาดเล็กทุก ๆ 5-10 กิโลเมตร และจุดพักรถขนาดใหญ่ทุก ๆ 15-20 กิโลเมตร ที่จะให้ทางท้องถิ่นมาร่วมพัฒนา ที่สำคัญทุก ๆ กิโลเมตรจะมีป้ายสัญลักษณ์จราจรและป้ายสัญลักษณ์เพื่อสุขภาพ สำหรับให้นักปั่นได้ดูระหว่างทาง

หากเปิดใช้เส้นทางนี้นอกจากจะเป็นทางจักรยานเพื่อเป็นพื้นที่สันทนาการให้ประชาชนได้ใช้ออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานแล้วยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศด้วย เนื่องจากตลอดเส้นทางทั้ง 5 จังหวัด จะมีแหล่งท่องเที่ยวทางโบราณสถานมากมายกระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ

ที่สำคัญโครงการนี้จะช่วยสนับสนุนชาวสวนยางพารา เพราะผิวทางจักรยานจะปูด้วยพาราแอสฟัลท์หนาประมาณ 5 เซนติเมตร ซึ่งมียางพาราผสมอยู่ประมาณ 5%

"สิงห์ฯ"ซื้อตึกซันพัฒนาที่ดินหมอชิต เล็งร่วมทุน"เสี่ยน้ำ"ฟื้นสัมปทาน63ไร่ผุดคอมเพล็กซ์ยักษ์2หมื่นล.


"สิงห์ เอสเตท" เดินหน้าช็อปกิจการไม่หยุด ทุ่ม 4.5 พันล้าน ซื้อตึกซันทาวเวอร์ส ของเสี่ยน้ำ มหฐิติรัฐ บุกตลาดสำนักงานเช่าเต็มสูบ ชี้ทำเล-จังหวะเหมาะ รองรับตลาดเออีซี สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ ปีหน้าเล็งปรับค่าเช่าใหม่ จับตาผนึกซันเอสเตทฟื้นที่ดินหมอชิตเก่า 63 ไร่ หลังกรมธนารักษ์เปิดทางเจรจาสัมปทานพัฒนา 30 ปี ผุดสำนักงาน ที่อยู่อาศัย โรงแรม มูลค่า 2.5 หมื่นล้าน
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อวันที่22 ก.ค. 2558 บริษัทได้เซ็นสัญญาซื้ออาคารซันทาวเวอร์ส ของบริษัท ซันทาวเวอร์ส จำกัด วงเงิน 4,500 ล้านบาท หลังใช้เวลาเจรจาร่วม 2 เดือน โดยผ่านบริษัท แม็กซ์ ฟิวเจอร์ จำกัด เพื่อเป็นการขยายฐานธุรกิจสู่ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่า สร้างรายได้เพิ่มให้บริษัทในปี 2558 เนื่องจากอาคารซันทาวเวอร์สมีผู้เช่าเต็ม 96.5% มีรายได้เฉลี่ยกว่า 500 ล้านบาทต่อปี ทำให้บริษัทรับรู้รายได้ทันทีหลังรับโอนกิจการตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.นี้

ทางลัดเพิ่มพอร์ตรายได้

จากปัจจุบัน บริษัทมีรายได้ 4 พันล้านต่อปี มาจากธุรกิจโรงแรม 2 แห่ง คือ สันติบุรี สมุย และพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท ที่กระบี่ และบ้านของเนอวานาที่บริษัทซื้อโครงการมา ระหว่างช่วงที่โครงการใหม่ของบริษัท โครงการคอนโดมิเนียมสิงห์ คอมเพล็กซ์ อโศก-เพชรบุรีตัดใหม่ จะสร้างเสร็จและรับรู้รายได้อีก 2 ปีข้างหน้า

"ซันทาวเวอร์ส เป็นโครงการแรกที่บริษัทจะนำมาเป็นจุดเริ่มต้นรุกธุรกิจสำนักงานให้เช่า และช่วงนี้ก็เป็นจังหวะเหมาะที่จะรุกตลาดเพราะยังมีความต้องการอีกมาก ซึ่งในตลาดยังไม่มีซัพพลายใหม่ และราคาที่เราซื้อก็สมเหตุสมผล ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มกว่าที่จะซื้อที่ดินและสร้างตึกใหม่" นายนริศกล่าว

รองรับเออีซี-IHQ

ในอนาคตยังมี ต่างชาติที่จะเข้ามาตั้งสำนักงานอีกมาก หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) รวมทั้งรองรับการส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters : IHQ) ตามที่รัฐบาลมีนโยบายอีกด้วย ซึ่งเมื่อความต้องการสูง ทำให้โอกาสที่จะเพิ่มค่าเช่าจะมีตามไปด้วย เพราะปัจจุบันค่าเช่าสำนักงานของประเทศไทยยังต่ำกว่าอีกหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์

สำหรับอาคารซันทาวเวอร์ส เป็นอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอ มีพื้นที่ใช้สอย 122,965 ตร.ม. บนที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ (Freehold) เนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ติดถนนวิภาวดีรังสิต นับเป็นทำเลที่ดีสำหรับกรุงเทพฯโซนเหนือ มีการคมนาคมที่สะดวก เป็นศูนย์กลางระบบขนส่งมวลชน รถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟฟ้าใต้ดิน

ค่าเช่า ตร.ม.ละ 400 บาท

ประกอบ ด้วย อาคารสำนักงาน 2 อาคาร คือ อาคารซันทาวเวอร์ส เอ สูง 33 ชั้น และอาคารซันทาวเวอร์ส บี สูง 41 ชั้น นอกจากเป็นพื้นที่สำนักงานแล้ว ยังมีห้องประชุม ฟิตเนสเซ็นเตอร์ ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ และส่วนที่เป็นพลาซ่า คือ Sun Plaza 1 พื้นที่ค้าปลีกให้เช่า นอกจากนี้ยังมีที่ดินเช่าเพิ่มเติม 8 ไร่ พื้นที่ใช้สอย 62,640 ตร.ม. พื้นที่ค้าปลีกภายใต้ชื่อ Sun Plaza 2 และลานจอดรถ มีที่จอดรถรวม 1,426 คัน ปัจจุบันอัตราค่าเช่าอยู่ที่กว่า 400 บาทต่อ ตร.ม.

"การลงทุนในซันทาวเวอร์สเพิ่มยังไม่มีช่วง 1 ปีนี้ แต่จะต้องทำแผนธุรกิจเชิงรุกแน่นอน หลังตลาดเปิดเสรีมากขึ้น"

เดินหน้าซื้อกิจการต่อเนื่อง

ส่วนครึ่งปีหลังยังเข้าซื้อกิจการหรือร่วมทุนอีก 3-4 ดีล โดยเป็นอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าทั้งหมด มีทั้งเซ็น MOU และเจรจา จะจบในปีนี้ทั้งหมด ถ้าเป็นไปตามแผนจะเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ของบริษัทจาก 1 หมื่นล้านบาท เป็น 2 หมื่นล้านบาท

"ปี 58 ใช้เงินกว่า 2 หมื่นล้านบาทซื้อกิจการ ปี"59 มีแผนซื้ออีก 6-7 ดีล มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท จะทำให้ธุรกิจเติบโตเร็วช่วง 3 ปีนี้ ระหว่างรอรับรู้รายได้จากโครงการที่พักอาศัยที่กำลังสร้างในปี"60-62 ตั้งเป้าใน 5 ปีจะมีรายได้รวม 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นอสังหาฯขายขาด 60% และอสังหาฯให้เช่า 40%"

สิ้น ก.ค.นี้จะเปิดตัวคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ที่ลานเบียร์สิงห์เดิม บน ถ.อโศก สูง 55 ชั้น ราคาเริ่มต้น ตร.ม.ละ 2 แสนบาท 420 ยูนิต ขนาด 1-3 ห้องนอน ปีหน้าจะมีโครงการบ้านเดี่ยวบน ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม มูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท ราคา 50 ล้านบาท/ยูนิต ภายใต้แบรนด์ใหม่ของสิงห์ แยกจากเนอวานา และมีคอนโดฯ3 โครงการ มูลค่าโครงการละ 2,500-3,000 ล้านบาท ทำเลแนวรถไฟฟ้าทั้งเขตซีบีดีและนอกเขตซีบีดี รวมถึงหัวเมืองต่างจังหวัด อยู่ระหว่างจัดซื้อที่ดินหรืออาจเป็นที่ดินเดิมของเครือบุญรอดเอง

"สำหรับ บริษัท เนอวานาฯ เราเข้าถือหุ้น 51% เมื่อ เม.ย. หลังปี"59 จะแบ่งเซ็กเมนต์ตลาดกับสิงห์ฯชัดเจน คือ เราจะพัฒนาเฉพาะแนวสูง เนอวานาพัฒนาแนวราบ เน้นตลาดกลางบน-ไฮเอนด์ ครึ่งปีหลังนี้จะเปิด 4 โครงการ คือ 1) Beyond S พระราม 2 2) Beyond S เกษตร-นวมินทร์ 3) Beyond เกษตร-นวมินทร์เฟส 2 และ 4) @Work แจ้งวัฒนะ-รามอินทรา กว่า 500 ยูนิต 6,100 ล้านบาท จะผลักดันยอดขายเนอวานาได้ตามเป้าปี"58 จำนวน 2,800 ล้านบาท จากยอดขายครึ่งปีแรก 1,000 ล้านบาท จาก 11 โครงการ"

เล็งปักหมุดที่ดินหมอชิตเก่า

ทั้งนี้ นายนริศยอมรับว่าการซื้ออาคารซันทาวเวอร์สนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีกับ นายน้ำ มหฐิติรัฐ เจ้าของบริษัท ซันทาวเวอร์สจำกัด และในอนาคตอาจจะร่วมกันพัฒนาธุรกิจ อาจจะรวมถึงโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณหมอชิตเก่า เนื้อที่ 63 ไร่ ที่บริษัท บางกอกเทอร์มินอล จำกัด ได้รับสัมปทานพัฒนาโครงการจากกรมธนารักษ์

"เป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคุณน้ำ อนาคตหากมีอะไรจะร่วมกันได้คงจะมาคุยกัน ที่ดินหมอชิตก็เป็นจุดหนึ่งที่เราสนใจ แต่ขึ้นอยู่กับโอกาส ถ้าเป็นประโยชน์ต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น บริษัทจะพิจารณาแน่นอน"

ธนารักษ์เดินหน้าพัฒนาโครงการ 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณหมอชิต ล่าสุดกรมธนารักษ์ได้เจรจากับบริษัท บางกอกเทอร์มินอล จำกัด (BKT) หรือซันเอสเตทเดิม ที่ชนะประมูลแต่แรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้จะเป็นการเจรจามูลค่าและผลตอบแทนโครงการ โดยมี นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เมื่อได้ข้อสรุปจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติต่อไป และคาดว่าจะเริ่มต้นโครงการได้ภายในปีนี้

หลังจากบริษัทยืนยันจะพัฒนาที่ดินแปลงนี้ต่ออีก 30 ปี โดยรูปแบบที่บริษัทนำเสนอมาหลังปรับปรุงตามผังเมืองรวม กทม. ที่ปรับลดการใช้ประโยชน์ที่ดิน พื้นที่อาคารรวมต่อที่ดิน หรือ FAR อยู่ที่ 8 : 1 จากเดิม 10 : 1 โครงการพัฒนามีพื้นที่ใช้สอยรวม 712,350 ตร.ม. มูลค่าโครงการ 25,000 ล้านบาท แยกเป็น พื้นที่ชดเชย 89,600 ตร.ม. ได้แก่ สถานีขนส่ง พื้นที่ใช้สอยราชการ ที่จอดรถราชการ และพื้นที่เชิงพาณิชย์ 662,750 ตร.ม. มีการพัฒนาครบทั้งอาคารสำนักงาน โรงแรม พื้นที่พาณิชย์ ที่อยู่อาศัย (เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์) และที่จอดรถ

สำรวจสินเชื่อไม่ผ่านพุ่ง35% กระทบทั้งวงการ จัดสรรลุ้นลูกค้ารับโอน


สำรวจอัตราปฏิเสธสินเชื่อพุ่ง 5-35% กระทบทั้งวงการ "แสนสิริ-โกลเด้นแลนด์" ชี้ลูกค้ามีหนี้เพิ่มจากบัตรเครดิต-ผ่อนรถคันแรก "เพอร์เฟค" งัดกลยุทธ์ขายก่อนสร้าง-ยืดเงินดาวน์ "เสนาฯ" ทำพรีแอปพรูฟ "ออริจิ้น-ปริญสิริ" สกรีนลูกค้าเข้ม

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจอัตราปฏิเสธสินเชื่อบ้านหรือรีเจ็กต์เรตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 6 บริษัท ได้แก่ บมจ.แสนสิริ, บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, บริษัท โกลเด้นแลนด์ เรสซิเด้นซ์ กรุ๊ป, บมจ.เสนา ดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และ บมจ.ปริญสิริ พบว่า อัตราปฏิเสธสินเชื่อบ้านและคอนโดมิเนียมอยู่ระหว่าง 5-35% (ดูตารางประกอบ) นับเป็นอัตราสูงทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2557 ที่ผ่านมา


แสนสิริ-โกลด์ชี้ลูกค้าหนี้ท่วม

นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการแนวสูง บมจ.แสนสิริ เปิดเผยว่า อัตราลูกค้ากู้ไม่ผ่านของคอนโดมิเนียมแสนสิริมีสัดส่วน 10-15% ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระดับกลาง-ล่าง แบรนด์เดอะเบสกับดีคอนโด ราคา 1-2 ล้านบาท ถือว่าทรงตัวเนื่องจากบริษัทปรับตัวรองรับโดยเพิ่มเงินดาวน์เป็น 15% ส่วนสาเหตุที่กู้ไม่ผ่านเกิดจากลูกค้าเคยมีประวัติผิดนัดชำระหนี้ทำให้ติดเครดิตบูโร จากภาระหนี้บัตรเครดิตและผ่อนรถ รวมทั้งมีรายได้ไม่เพียงพอ

นายภวรัญชน์ อุดมศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท โกลเด้นแลนด์เรสซิเด้นซ์ กรุ๊ป ในเครือโกลเด้นแลนด์ กล่าวว่า โกลเด้นแลนด์มีอัตราปฏิเสธสินเชื่อลูกค้าทาวน์โฮม 30-35% จากลูกค้ากลุ่มนี้มีหนี้บัตรเครดิตกับหนี้รถคันแรกจำนวนมาก บางรายมีปัญหาลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันจนทำให้ตนเองมีชื่อติดเครดิตบูโร เป็นต้น

การปรับกลยุทธ์รองรับคือ ยืดระยะเวลาผ่อนดาวน์สูงสุด 6 เดือน รวมทั้งเจรจาขอให้ลูกค้าเปลี่ยนยูนิตทาวน์โฮมที่จองซื้อจากโซนด้านหน้าที่สร้างใกล้แล้วเสร็จ เป็นโซนด้านในที่การก่อสร้างช้ากว่า เพื่อให้มีระยะเวลาจ่ายหนี้อื่น ๆ ให้เรียบร้อยก่อนโอน 

PF ยืดดาวน์-ขายก่อนสร้าง

นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวว่า โครงการเพอร์เฟคบางโครงการมีสัดส่วนลูกค้ากู้ไม่ผ่าน 15-20% เทียบจากฐานปี 2556 ที่เคยมีเพียง 10-15% เกิดจากติดแบล็กลิสต์ผิดนัดชำระหนี้ เช่น บัตรเครดิต ผ่อนรถ

"เราแก้ปัญหานี้ด้วยการทำพรีแอปพรูฟคุณสมบัติลูกค้าก่อนจอง หากพบว่ามีแนวโน้มกู้ไม่ผ่านจะแนะนำให้หาผู้กู้ร่วม ขณะเดียวกัน โครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ก็เพิ่มสัดส่วนบ้านสั่งสร้างมากขึ้น จากเดิมจะลงทุนบ้านสร้างก่อนขาย 75% ของโครงการ เพื่อให้ลูกค้ามีเวลาผ่อนดาวน์เพิ่มเป็น 6-7 เดือน เท่ากับเป็นการขยายงวดผ่อนดาวน์ ตอนจะโอนลูกค้ากู้ธนาคารน้อยลง โอกาสกู้ผ่านก็มีมากขึ้น" 

ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บมจ.เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า สัดส่วนลูกค้ากู้ไม่ผ่านอยู่ที่ 8-10% เทียบกับตลาดโดยรวมแล้วอาจมองว่าน้อยกว่า แต่เกิดจากนโยบายทำพรีแอปพรูฟลูกค้าก่อนทำสัญญา ตัวเลขจึงลดลง

แอลพีเอ็นแนะคุยแบงก์

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์กล่าวว่า ปัญหาลูกค้ากู้ไม่ผ่านเป็นประเด็นสำคัญของบริษัทเพราะเน้นทำตลาดล่างซึ่งลูกค้ามีเครดิตต่ำ แนวทางแก้ปัญหาคือพยายามสื่อสารกับสถาบันการเงินถึงข้อดี 2 ข้อในการปล่อยกู้ก้อนเล็กให้กับผู้กู้หลายราย คือ 1.โอกาสเป็นหนี้เสียก้อนใหญ่มีน้อยลง 2.ธนาคารจะมีฐานลูกค้ามากขึ้นสำหรับจำหน่ายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ

ออริจิ้น-ปริญสิริสกรีนลูกค้า

นายพีระพงษ์ จรูญเอก กรรมการบริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า บริษัทไม่กังวลเรื่องลูกค้ากู้ไม่ผ่าน เพราะสัดส่วนลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อบ้านมีเพียง 5-10% มาจากนโยบายไม่เน้นเร่งปิดการขาย และกำชับให้พนักงานขายสกรีนลูกค้าโดยมองว่าปัญหาอัตราปฏิเสธสินเชื่อสูงของตลาดในภาพรวมเกิดจากกลุ่มลูกค้าเก็งกำไรมากกว่า

นายอุเทน คงสุนทรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ปริญสิริ เปิดเผยว่า สัดส่วนลูกค้ากู้ไม่ผ่านมีประมาณ 20% ในเซ็กเมนต์ลูกค้าระดับซีบวก หรือคอนโดฯราคา 1.7-1.8 ล้านบาท, ทาวน์โฮมราคา 2-3 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวราคา 5 ล้านบาท ส่วนลูกค้าระดับบน เช่น บ้านเดี่ยวเกิน 10 ล้านบาท คอนโดฯ ราคา 6 ล้านบาทไม่มีปัญหาเรื่องเครดิต รวมทั้งลูกค้ากว่าครึ่งซื้อด้วยเงินสด ในส่วนปัญหาถูกปฏิเสธสินเชื่อบริษัทแก้ปัญหาด้วยการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ซื้อเข้มข้น กับให้คำแนะนำด้านการเงินมากขึ้น

Cr.http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1437887233

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

“เมเจอร์”จัด Open House


        นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการ มาเอสโตร 39 คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สไตล์โมเดิร์นคลาสสิกพร้อมเข้าอยู่ บนทำเลใจกลางเมืองสุขุมวิท 39 จัดงาน Open House ต้อนรับลูกค้าคนพิเศษในวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ เวลา 10.00-17.00 น. โดยมีการแสดงมินิคอนเสิร์ตในยามบ่ายจากศิลปินเดอะ ว้อยส์ 


วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

“อินฟินิท” ปรับแผนรับมืออสังหาฯ แข่งเดือด พร้อมตั้งเป้ารายได้สิ้นปีกว่า 1.8 พัน ลบ.

       

 “อินฟินิท” เปลี่ยนแผนรับมืออสังหาฯ ไทยกลางปี 58 เพื่อเติบโตต่อเนื่อง เปิดเฟส 2 โครงการ แฮปปี้คอนโด ดอนเมือง หลังลูกค้าแห่จองเต็ม มั่นใจกำไรโตเพิ่ม 30% ปักธงสิ้นปีรับรู้รายได้กว่า 1,800 ล้านบาท คงคอนเซ็ปต์มุ่งสร้างสรรค์บ้าน และบริการระดับคุณภาพเพื่อมอบความสุขให้แก่ลูกค้า
       
       น.ส.กรวิกา กอวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทอินฟินิท เรียลเอสเตท จำกัด ผู้บริหารโครงการแฮปปี้คอนโด แฮปปี้โฮม และแฮปปี้วิลล์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่กลางปี 2558 เป็นต้นไป บริษัทฯ ได้ทำการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อให้โครงการภายใต้แบรนด์อินฟินนิทเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาวะทางการแข่งขันในตลาดอสังหาฯ ไทยอยู่ในยุคของการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งอินฟินิท ยังคงเดินหน้า และใช้ยุทธศาสตร์ใหม่โดยการพัฒนาโครงการทั้งแนวราบ และแนวสูงให้แข็งแกร่งกว่าเก่า
       
       “จากช่วงไตรมาส 2 ไปนี้ตลาดอสังหาฯ จะมีการปรับดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ทั้งแนวราบ-แนวสูง รวมถึงราคาคอนโดฯ ก็ปรับขึ้นสูงสุด จึงทำให้อินฟินนิท ปรับแผนดำเนินธุรกิจ เตรียมพร้อมรับมือสภาวะของการแข่งขันที่มากขึ้น โดยมีแผนพัฒนาโครงการให้มีจุดขายเฉพาะ คือ ทาวน์โฮมสไตล์บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมสไตล์โมเดิร์น คอนโดมิเนียม และสปอตร์ต คลับ ซึ่งมีจุดเด่นของแต่ละโครงการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น มีรูปแบบห้องที่กว้างขวาง มีพื้นที่ใช้สอยมาก รูปแบบเพดานห้องที่สูง และการเลือกใช้วัสดุ เฟอร์นิเจอร์ระดับคุณภาพ ที่สำคัญคือผู้อยู่อาศัยยังคล่องตัวเพราะเชื่อมต่อทุกการเดินทาง นอกจากนี้ ยังมีคอนโดที่ผสานสปอตร์ต คลับ สนามฟุตบอลหญ้าเทียมเข้าไว้ด้วยกัน และมีคอนโดที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ พร้อมมีคอมมูนิตีมอลล์ในโครงการที่เปิดให้บริการอีกด้วย”
       
       สำหรับความคืบหน้าการดำเนินงานสำหรับโครงการที่กำลังจะพัฒนาในเร็วๆ นี้ คือ โครงการ แฮปปี้คอนโด ดอนเมือง ตั้งอยู่บนถนนสรงประภา เขตดอนเมือง โดยจะทำการขยายเฟสต่อเนื่อง ในช่วงปลาย ปี 58 เนื่องจากได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ามากพอสมควร ด้วยราคาวันเปิดพรีเซลเพียง 1.29 ล้านบาท ทำให้มีลูกค้าสนใจเข้ามาจองโครงการ 100% ภายใน 2 วัน และปัจจุบันราคาขายอยู่ที่ 1.39 ล้านบาท
       
       น.ส.กรวิกา กล่าวว่า จากการตอบรับจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องมาจนถึงกลางปี ตอนนี้อินฟินิท สามารถทำรายได้อยู่ที่ 24% ตามเป้าของบริษัทที่ได้ตั้งไว้ ในส่วนของยอดโอนครึ่งปี 58 ที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบจากของปีที่แล้วก็เพิ่มขึ้น 30% เลยทีเดียว จึงคาดว่าในช่วง Q3-Q4 นี้ก็น่าจะผ่านฉลุย และค่อนข้างมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้เติบโตเพิ่มขึ้น 30% แน่นอน โดยตั้งเป้าไว้ที่ 1,800 ล้านบาท
       
       ในปี 2558 อินฟินิท คงเน้นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ประทับใจ โดยมุ่งสร้างสรรค์บ้าน และที่อยู่อาศัยพร้อมบริการระดับคุณภาพเพื่อมอบความสุขให้แก่ลูกค้า ซึ่งจากประสบการณ์ที่ยาวนานในการสร้างที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์อินฟินิทที่ผ่านมา ทำให้สามารถเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง จึงทำให้บริษัทฯ ตระหนักที่จะมุ่งมั่นพัฒนาสร้างบ้านให้สอดคล้องต่อความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยการใส่ใจทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ปลอดภัย บ้านที่อบอุ่น และบ้านทันสมัย เพราะเชื่อว่านี่คือจุดแข็งที่จะทำให้อินฟินิทสามารถยืนหยัดอยู่ภายใต้ภาวะการแข่งขันที่สูงแบบนี้ได้